ถาม หากนั่งหลับบ่อยๆในเวลาภาวนาควรแก้ไขอย่างไร
ตอบ ต้องมีอุบายสำหรับตัวเอง เช่น อาศัยร่างกายของเรานั่งให้เที่ยงตรง เพราะว่าปกติถ้าจะหลับหลังจะเริ่มค่อมลงๆ การเริ่มต้นด้วยการนั่งให้เที่ยงตรงช่วยให้มีกำลังในร่างกาย เวลามีกำลังในร่างกาย จิตใจก็จะมีกำลังมากขึ้นจะช่วยไล่ความง่วงให้เราทาองค์กรรมฐานของเราให้ชัดเจน เช่น หากว่าเรากำหนดลมหายใจออก ถ้ามันเริ่มพร่ามัวเราก็ต้องทำให้มันชัดเจน เป็นอุบายที่ช่วยทำให้มีสติชัดเจนทำให้กำหนดได้ชัดเจน บางทีเราก็ทบทวนข้อธรรมะข้อใดข้อหนึ่ง คือ อาศัยการเคลื่อนไหวของจิต เช่น เรายกพุทโธขึ้นมาพุทโธ ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานตั้งคำถามกับตัวเองว่า มีไหมหรือ ทบทวนในลักษณะว่า เราจะเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้อย่างไร เป็นการชักจูงจิตใจของเราให้มีการเคลื่อนไหวแทนที่จะจมอยู่ในความมืดยกจิตใจเราขึ้นมาสู่การพิจารณามันจะทำให้จิตใจเราตื่นขึ้นมาได้ ถ้าหากว่าทำสิ่งเหล่านี้แล้วยังไม่ได้ผล บางทีเราก็ทำอย่างพระพุทธเข้าทรงแนะ คือ ดึงหูหรือถูตัว ร่างกายจะได้มีกำลังมากขึ้น หรือออกไปข้างนอก ถ้าเป็นกลางคืนก็ออกไปดูดาวดูฟ้าข้างนอก จะได้ทำให้จิตเกิดกำลัง ถ้าง่วงมากๆ ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน หากไฟยังสว่างอยู่เราก็ลืมตาไว้ดูแสงสว่างรอบตัวเรามันก็ช่วยได้ อีกวิธี คือ ออกไปเดินจงกรมแทนที่จะนั่งถ้าง่วงมาก เดินจงกรมจะดีกว่าบางคนอาจคิดว่ายังไงๆก็จะต้องนั่งให้ได้แต่ความก้าวหน้าของการภาวนาหรือการปฏิบัติไม่ได้อยู่ที่ี่เรานั่งมากน้อยแค่ไหน แต่อยู่ที่ว่าเรามีสติต่อเนื่องมากน้อยแค่ไหน บางทีการเดินจงกรมอาจจะเหมาะกว่าสำหรับการทำสติให้เกิดขึ้นในจิตใจของเรา แต่ถ้าเดินจงกรมแล้วยังจะหลับอยู่ เราก็ต้องยอมต้องไปพักไปเอนกายโดยตั้งใจให้ชัดเจนว่า พอเราหายเหนื่อยแล้วเราจะลุกขึ้นปฏิบัตภาวนาต่อ
ถาม เมื่อมีทุกข์จากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักอย่างไม่คาดคิดจิตใจฟุ้งซ่านมากควรจะปฏิบัติภาวนาอย่างไรดี
ตอบ วิธีหนึ่ง คือ เราต้องยอมรับว่า เราได้สูญเสียผู้ที่เรารักหรือเรามีความเคารพหรือมีความผูกพันมันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง เป็นโอกาสที่เราจะได้พิจารณาอย่างที่พระพุทธเจ้าให้เราพิจารณา ซึ่งเป็นเรื่องที่เราควรจะพิจารณาทุกวันๆ ไม่ให้ขาดว่า เราจะพลัดพรากจากผู้ที่เรารักเราชอบใจ หรือจะใช้สำนวนตามบทสวดมนต์ว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งหลายทั้งปวง มันเป็นธรรมชาติที่เมื่อเราเกิดมาก็ต้องมีลักษณะอย่างนี้เกิดขึ้นแน่นอนไม่รู้จะต่อรองได้อย่างไร แต่เราสามารถที่จะฝึกจิตให้มีสติและปัญญาเพียงพอที่จะเห็นว่ามันเป็นธรรมชาติของการเป็นมนุษย์ต้องมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมันเป็นการฝึกปัญญาของเรา อีกประการหนึ่งเมื่อสูญเสียบุคคลที่เราเคารพเราควรทำคุณงามความดีและอุทิศส่วนบุญกุศลให้ท่านผู้ล่วงลับ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้ายกย่องสรรเสริญมาก ผลจากการทำสิ่งที่ดีจิตใจย่อมเบิกบานซึ่งก็เป็นประโยชน์กับเราเองด้วยแล้ว เวลาที่เราได้พยายามกำหนดในจิตใจอุทิศบุญกุศล ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วก็อาจจะได้รับอานิสงส์ของการกระทำนั้นซึ่งก็น่าภาคภูมิใจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น