วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ถามตอบปัญหาธรรมะ

ถาม​​  หากนั่งหลับบ่อยๆ​ในเวลาภาวนา​ควรแก้ไขอย่างไร 

ตอบ​   ต้องมีอุบายสำหรับตัวเอง​ เช่น​ อาศัยร่างกายของเรา​นั่งให้เที่ยงตรง​ เพราะว่าปกติถ้าจะหลับหลังจะเริ่มค่อมลงๆ การเริ่มต้นด้วยการนั่งให้เที่ยงตรงช่วยให้มีกำลังในร่างกาย เวลามีกำลังในร่างกาย จิตใจก็จะมีกำลังมากขึ้นจะช่วยไล่ความง่วงให้เราทาองค์กรรมฐานของเราให้ชัดเจน เช่น หากว่าเรากำหนดลมหายใจออก​ ถ้ามันเริ่มพร่ามัว​เราก็ต้องทำให้มันชัดเจน ​เป็นอุบายที่ช่วยทำให้มีสติชัดเจน​ทำให้กำหนดได้ชัดเจน​ บางทีเราก็ทบทวนข้อธรรมะข้อใดข้อหนึ่ง​ คือ​ อาศัยการเคลื่อนไหวของจิต​ เช่น​ เรายกพุทโธขึ้นมา​พุทโธ​ ผู้รู้​ผู้ตื่น​ผู้เบิกบาน​ตั้งคำถามกับตัวเองว่า มีไหม​หรือ ทบทวนในลักษณะว่า​ เราจะเห็น อนิจจัง​ ทุกขัง​ อนัตตาได้อย่างไร​ เป็นการชักจูงจิตใจของเราให้มีการเคลื่อนไหว​แทนที่จะจมอยู่ในความมืด​ยกจิตใจเราขึ้นมาสู่การพิจารณา​มันจะทำให้จิตใจเราตื่นขึ้นมาได้​  ถ้าหากว่าทำสิ่งเหล่านี้แล้วยังไม่ได้ผล บางทีเราก็ทำอย่างพระพุทธเข้าทรงแนะ คือ ดึงหูหรือถูตัว ร่างกายจะได้มีกำลังมากขึ้น หรือออกไปข้างนอก ถ้าเป็นกลางคืนก็ออกไปดูดาวดูฟ้าข้างนอก จะได้ทำให้จิตเกิดกำลัง ถ้าง่วงมากๆ ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน หากไฟยังสว่างอยู่​เราก็ลืมตาไว้​ดูแสงสว่างรอบตัวเรา​มันก็ช่วยได​้  อีกวิธี คือ ออกไปเดินจงกรมแทนที่จะนั่ง​ถ้าง่วงมาก  เดินจงกรมจะดีกว่า​บางคนอาจคิดว่ายังไงๆ​ก็จะต้องนั่งให้ได้​แต่ความก้าวหน้าของการภาวนาหรือการปฏิบัติไม่ได้อยู่ที่ี่เรานั่งมากน้อยแค่ไหน​  แต่อยู่ที่ว่า​เรามีสติต่อเนื่องมากน้อยแค่ไหน​ บางทีการเดินจงกรมอาจจะเหมาะกว่าสำหรับการทำสติให้เกิดขึ้นในจิตใจของเรา​ แต่ถ้าเดินจงกรมแล้วยังจะหลับอยู่​ เราก็ต้องยอม​ต้องไปพัก​ไปเอนกาย​โดยตั้งใจให้ชัดเจนว่า ​พอเราหายเหนื่อยแล้ว​เราจะลุกขึ้นปฏิบัตภาวนาต่อ 

ถาม  ​​เมื่อมีทุกข์จากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักอย่างไม่คาดคิด​จิตใจฟุ้งซ่านมาก​ควรจะปฏิบัติภาวนาอย่างไรดี 

ตอบ​  วิธีหนึ่ง​ คือ​ เราต้องยอมรับว่า​ เราได้สูญเสียผู้ที่เรารักหรือเรามีความเคารพหรือมีความผูกพัน​มันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง​ เป็นโอกาสที่เราจะได้พิจารณาอย่างที่พระพุทธเจ้าให้เราพิจารณา​ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราควรจะพิจารณาทุกวันๆ​ ไม่ให้ขาดว่า​ เราจะพลัดพรากจากผู้ที่เรารักเราชอบใจ​ หรือจะใช้สำนวนตามบทสวดมนต์ว่า​ เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งหลายทั้งปวง​ มันเป็นธรรมชาติที่​เมื่อเราเกิดมาก็ต้องมีลักษณะอย่างนี้เกิดขึ้นแน่นอน​ไม่รู้จะต่อรองได้อย่างไร​  แต่เราสามารถที่จะฝึกจิตให้มีสติและปัญญาเพียงพอที่จะเห็นว่า​มันเป็นธรรมชาติของการเป็นมนุษย​์ต้องมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น​มันเป็นการฝึกปัญญาของเรา​ อีกประการหนึ่ง​เมื่อสูญเสียบุคคลที่เราเคารพ​เราควรทำคุณงามความดีและอุทิศส่วนบุญกุศลให้ท่านผู้ล่วงลับ  ​ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้ายกย่องสรรเสริญมาก​ ผลจากการทำสิ่งที่ดี​จิตใจย่อมเบิกบาน​ซึ่งก็เป็นประโยชน์กับเราเองด้วย​แล้ว เวลาที่เราได้พยายามกำหนดในจิตใจอุทิศบุญกุศล​ ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วก็อาจจะได้รับอานิสงส์ของการกระทำนั้น​ซึ่งก็น่าภาคภูมิใจ​

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น