ถาม ทำอย่างไรจะฝึกผู้รู้ในจิตให้รู้เท่าทันอารมณ์และให้มีกำลังที่จะยับยั้งไม่ให้ตอบสนองอารมณ์นั้น
ตอบ แท้จริงแล้วเราไม่ต้องฝึกผู้รู้ให้รู้เท่าทันอารมณ์ ผู้รู้มันเท่าทันอยู่แล้ว ปัญหาอยู่ที่ว่าเราไปทำอย่างอื่นเสีย เราไปคิดเรื่องอื่นเสีย เราไปปรุงเรื่องอื่นเสีย เราไม่ได้ใส่ใจกับผู้ร ู้เมื่อเวลาเราไม่ใส่ใจไม่ทะนุถนอมผู้รู้ มันก็เท่ากับเราปล่อยให้อารมณ์อื่นมาครอบงำ ปล่อยความคิดความรู้สึกต่างๆมาทำให้มันแปดเปื้อน ผู้รู้มันดีอยู่แล้ว ผู้รู้มันเบิกบานอยู่แล้ว ผู้รู้มันตื่นอยู่แล้ว เราเพียงต้องเอาใจใส่ดูแลรักษาผู้รู้และไม่สนับสนุนอารมณ์อื่นๆ เช่น อารมณ์ของความเพลิดเพลินยินดีในกามหรืออารมณ์ที่ประกอบด้วยโทสะความง่วงเหงาหาวนอนความฟุ้งซ่านหรือความลังเลสงสัย ถ้าหากว่าเราไม่ให้อาหารมัน ไม่เลี้ยงมันไว้ มันก็จะเริ่มไม่มีกำลัง แล้วในที่สุดมันก็อยู่ไม่ได้ อย่างนี้ก็เป็นการสนับสนุนผู้รู้ขึ้นมาด้วยการไม่เอาอะไรมาขวางมัน
ถาม ทำไมพระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้ทานเนื้อม้า
ตอบ ที่พระพุทธเจ้าห้ามพระฉัน เพราะม้าเป็นสัตว์ของพระราชาเช่นเดียวกันกับช้าง นอกจากนี้ยังห้ามฉันหมาและงู เพราะเป็นของต่ำน่าเกลียดสัตว์ร้ายบางชนิดเป็นอันตราย สำหรับพระที่อยู่ป่า เช่น เสือหมีพระพุทธเจ้าว่า ถ้าพระฉันจะมีกลิ่นของเนื้อนั้นอย ู่เมื่อพระไปปักกลดในป่าสัตว์มันจะเข้ามาหาแล้วท่านยังห้ามไม่ให้พระฉันเนื้อมนุษย์ด้วย
ถาม เมื่อมีสมาธิแล้วจะมีสติเสมอหรือไม่เวลานั่งทำสมาธิ
ตอบ สำคัญว่าสมาธิที่มีต้องเป็นสัมมาสมาธิ เพราะสมาธิมีทั้งสัมมาสมาธิ และมิจฉาสมาธิ ซึ่งเป็นสมาธิที่ไม่ถูกต้อง คือ เป็นสมาธิที่ไม่มีสติเป็นองค์ประกอบเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของสมาธิที่ถูกต้องคือ จิตใจของเราจะนิ่งขึ้นๆสงบมากถ้าไม่มีสติเป็นองค์ประกอบพระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ เราต้องมีผู้รู้ติดตัวอยู่ เราจะทิ้งผู้รู้ไม่ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น