๑. ใหมหรสพเปนทาน (สมฺมชฺชทานํ)
๒. ใหนํ้าเมา (มชุชทานํ)
๓. ใหหญิงแกชายอยูดวยกัน (อิตฺถีทานํ)
๔. ใหพอโคแกแมโคเพื่อสืบพันธุ (อุสภทานํ)
๕. ใหจิตรกรรมเกี่ยวกับเมถุนสังโยค คือ ภาพเสพกาม (จิตฺตกมฺมทานํ)
(จากสารัตถสังคหะ แปล หนา ๔๖๑ อางคัมภีรบริวาร)
ขออธิบายตามความเห็นสวนตัวดังนี้ :
๑. การใหมหรสพเปนทานนั้น แมทางโลกเขาจะนิยมกันวาเปนการใหความบันเทิงเริงรมย์แก่ผู้อื่น จึงนิยมจัดมหรสพในงานตางๆ สนองความตองการ ผูมาในงาน ผูมาในงานก็พอใจ เพราะมีจิตอยางเดียวกัน แตทางธรรมถือวา ไมเปนบุญ เพราะคนทั้งหลายมี ราคะ โทสะ โมหะมากอยูแลว การละเลน ตางๆ เปนการไปเพิ่มราคะเปนตนขึ้นอีก ไมเปนไปเพื่อความสงบ ความ ขัดเกลา
๒. การใหนํ้าเมาก็เชนกัน แมจะเปนที่พอใจของผูรับแตไมเปนบุญ เพราะเปนไปเพื่อการเบียดเบียนตนเองบาง ผูอื่นบาง ความชั่วราย อุปทวเหตุอันมีสาเหตุมาจากนํ้าเมานั้นมีมาก การดื่มนํ้าเมาจึงเปนการทําลายตนเอง ทําลายสังคม
๓. การใหหญิงแกชาย ใหชายแกหญิง เพื่ออยูดวยกันเพื่อสืบพันธุ มองในสายตาพระอริยะท่านเห็นว่าเปนการใหทุกขแกกัน แมจะมองเห็นเปนความสุขเบื้องตน แตเปนทุกขในกาลตอมา เปนการ กอภพกอชาติ (ความเกิด) อันเปนเบื้องตนแหงความแก ความเจ็บไข และความตาย ในระหวางมีชีวิตอยู ก็มีอุปสรรค มีปญหาสารพัดอยางอันสืบเนื่องมาจากการใชชีวิตคู ไมไดทุกขคนเดียว แตดึงคนอื่นให้พลอยทุกข์ด้วยเปนพวง บางครอบครัวหากินคนเดียว คนอื่นปวยบาง พิการบาง ตองแบกภาระอันหนักเพียงไร บางคนไมปวย ไมพิการ แตนิสัยไมดี เอาเปรียบคนอื่น กินแรงคนอื่น เสวยผลงานที่คนอื่นทํา คนอื่นก็พูดไมออก เพราะอยูในครอบครัวเดียวกันจะไมเอื้อเฟอก็ทําไมได การมีครอบครัวจึงเปนเรื่องสรางความยุงยากตั้งแตตนจนปลาย พระอริยเจาทั้งหลายจึงกล่าวเตือนไว้ว่า ฆราวาสให้เต็มได้ยากเหมือนหม้อทะลุ (ฆราวาโส ฉินฺนฆโฏวิย)
จําไดวา เคยเขียนไวในที่บางแหงวาพวกเราควรจะเสียใจที่ทําใหใคร ตอใครเกิดมา เพราะเขาตองมาเผชิญกับความทุกขนานัปการตลอดชีวิต เหมือนเรามอบมรดกทุกขใหแกเขา อีกอยางหนึ่งคนสวนมากเปนคนไมดี คือไมไดมาตรฐานของมนุษยที่ดี รกสังคมและทําใหสังคมพิการ กอทุกขใหแกตัวเองและสังคมสวนรวม มนุษยที่ดีมีนอยเกินไปและเปนภาระอันหนักในการแกปญหาสังคม
๔. การใหพอโคแกแมโคเพื่อสืบพันธุ ก็ทํานองเดียวกันกับขอ ๓ ยิ่งพวกสัตวเลี้ยง ยิ่งมีความทุกขมาก เพราะถูกผูก ถูกลาม ไมมีสิทธิแกตัวเอง สุดแลวแตเจาของจะแยกแมแยกลูกไปไวที่ไหนใหใครเอาไปฆาไปแกงที่ไหนก็ได ลําพังตัวมันเองก็มีทุกขเพียบแปรอยูแลว มีลูกออกมาจะทําอยางไร สัญชาตญาณในการสืบพันธุ ทําใหมันทําไปอยางมืดบอดและจมอยูในหวงทุกข สมัยนี้มีวิธีผสมพันธุเทียม (โดยวิธีวิทยาศาสตร) ความสุขเล็กนอย อันมันพึงไดจากการสืบพันธเองซึ่งเปนรางวัลหรือเหยื่อที่ธรรมชาติตั้งไวให มันก็ไมมีสิทธิไดเสียแลว แตมันตองตั้งครรภเอง คลอดลูกเองตามกําหนด นี่ก็เปนอีกวิธีหนึ่งที่มนุษยผูมีปญญารูจักเอาเปรียบสัตว
๕. การให้จิตรกรรมอันเกี่ยวกับเมถุนสังโยค คือ จิตรกรรมที่เกี่ยวกับการเสพกามเกิดขึ้นแมในวัดพุทธศาสนา เพราะอิทธิพลของลัทธิพุทธตันตรยานในมหายานประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ ๙ สมัยราชวงคคุปตะแหงอินเดีย ลัทธิตันตระ เปนสาขาหนึ่งของมหายาน
ลัทธินี้ เรียกวา มนตรยานบาง วัชรยานบาง รหัสยานบาง เอาแตสวดออนวอน บูชารูปเคารพพระ โพธิสัตวคลายเทพเจาฮินดู ไมสนใจการปฏิบัติธรรม นอกนี้พระในนิกายนี้ ซึ่งนิยมเรียกกันวา นักสิทธนั้น นิยมมีเมียมีลูกเสียอีก ประพฤติตัวมัวเมาในกามคุณ ชอบเมาสุราเหมือนคฤหัสถทุศีลทั่วไป
นักบวชของลัทธินี้แบงเปน ๒ พวกใหญ คือพวกขวา (ทักษิณจารี) และพวกซาย (วามจารี) พวกขวายังประพฤติอยูในธรรมวินัย ยังประพฤติ พรหมจรรย
สวนพวกซาย (วามจารี) นั้นซายเต็มที่ มีบัญญัติอะไรๆ ที่ผิดพระธรรมวินัยของพระพุทธเจาไปหมด เกณฑใหพระพุทธรูปมีศักติ คือ ชายา (เชนเดียว กับพระอิศวร) มีรูปอุมกอดศักติ การเสพกาม คือ การบรรลุวิโมกขหรือนิพพาน ผูใดมอบสตรีใหสิทธะ ผูนั้นจะไดกุศลแรง มีมนตที่เรียกวา ธารณีประจําองค พระพุทธเจาและพระโพธิสัตวตางๆ ลวนแตขลังๆ ทั้งนั้น สวดจบเดียว มีอานิสงสไดเปนพระอินทรรอยชาติ เพียงเขียนใสแผนผาแขวนไวใครเดินลอด มีอานิสงสทําใหพนบาปกรรมที่ทํามา ๙๐ กัป ตัวอยาง มนต เชน โอม มณี ปทฺเมหุมฺ (แปลวา ดวงแกวเกิดในดอกบัวเทานั้นเอง)
มีการบัญญัติมณฑลบูชา เรียกวา มันตรเวที เชน จะทําพิธีใดบูชา พระโพธิสัตวองคใด จะตองมีเครื่องบูชาเทานั้นเทานี้ จะตองจัดบริเวณพิธี ดวยอุปกรณอยางนั้นอยางนี้ ตัวอยางมณฑลบูชา พึงเห็นไดจากพิธีพุทธาพิเษกในเมืองไทยซึ่งสืบมาแตนิกายนี้*
เมื่อนักบวชในลัทธิตันตระชอบหมกมุนในกามคุณเชนนี้ จิตรกรรมตาม วัดวาอารามตางๆ จะออก มาเชนไร? ยอมจะออกมาตามจิตสํานึกของนักบวชนั่นเอง จึงมีจิตรกรรมเมถุนสังโยคอยูทั่วไป การให้จิตรกรรม เช่นนี้ไมเปนบุญ แตกลับจะเปนบาป
กามคุณเปนอันตรายของนักพรต-นักบวช มีความโนมเอียงทางใด ยอมชักจูงผูอื่นที่เปนนักบวชดวยกันหรือคฤหัสถผูเคารพนับถือใหไปทางนั้น
พระพุทธเจาของลัทธิตันตระแทนที่จะเปนบรรพชิตผูสงบเหมือนพระ พุทธรูปในลัทธิเถรวาท กลับเปนพระทรงเครื่องกษัตริย พระพุทธรูปทรง เครื่องในเมืองไทยมีกําเนิดมาจากลัทธิตันตระนี้
*เสถียร โพธินันทะ ใน ประวัติศาสตรพุทธศาสนา ภาค ๑ หนา ๑๔๗ มหามกุฎราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๑๔
นอกจากนี้ยังเกณฑใหพระพุทธเจาและพระโพธิสัตวตางๆ มีปางดุ ปางโกรธ ปางใจดี เหมือนกับพระเจาของฮินดูเชนพระอิศวร ปางดุเปนไภรวะ ปางโกรธเปนมหากาฬ พระอุมาปางดุเปนทุรคา ปางโกรธเปนกาลี ปางใจดี เปนอุมา พระพุทธเจาและพระโพธิสัตวก็มีปางอยางนั้นเหมือนกันเพื่อปราบมาร ตัวอยางเชนพระมัญชุศรีโพธิสัตว ปางดุทรงเนรมิตเปน ยมฆาตกะ เพื่อ ปราบพญายม ปางนี้มีศีรษะเปนโค สีพระกายนํ้าเงินเขม มีหลายเศียร หลาย หัตถ เอาหัวกะโหลกเปนมาลัยเหยียบบนรางของเทพมนุษย และอสุรยักษ ตางๆ (เสถียร โพธินันทะ, ประวัติศาสตรพุทธศาสนา ภาค ๑ อางแลว)
ทาทีของลัทธิตันตระ ความตั้งใจเดิมเหมือนจะแขงกับศาสนาฮินดู แยงประชาชนกับศาสนาฮินดู ตองการใหประชาชนมาเลื่อมใสดวยการเอา ใจเขา มีกิจกรรมอันสนองกิเลสของชาวบาน แตผลกลับเปนการทําลาย ศาสนาของตัวเอง ขอใหระวังกันไวดวย
อ.วศิน อินทสระ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น