วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ทาน ๕ อย่าง ที่ไม่เป็นบุญ

          ๑. ใหมหรสพเปนทาน (สมฺมชฺชทานํ) 
          ๒. ใหนํ้าเมา (มชุชทานํ) 
          ๓. ใหหญิงแกชายอยูดวยกัน (อิตฺถีทานํ) 
          ๔. ใหพอโคแกแมโคเพื่อสืบพันธุ (อุสภทานํ) 
          ๕. ใหจิตรกรรมเกี่ยวกับเมถุนสังโยค คือ  ภาพเสพกาม (จิตฺตกมฺมทานํ) 
                                                                   (จากสารัตถสังคหะ แปล หนา ๔๖๑ อางคัมภีรบริวาร) 
          ขออธิบายตามความเห็นสวนตัวดังนี้ :
          ๑. การใหมหรสพเปนทานนั้น แมทางโลกเขาจะนิยมกันวาเปนการใหความบันเทิงเริงรมย์แก่ผู้อื่น จึงนิยมจัดมหรสพในงานตางๆ สนองความตองการ ผูมาในงาน ผูมาในงานก็พอใจ เพราะมีจิตอยางเดียวกัน แตทางธรรมถือวา ไมเปนบุญ เพราะคนทั้งหลายมี ราคะ โทสะ โมหะมากอยูแลว การละเลน ตางๆ เปนการไปเพิ่มราคะเปนตนขึ้นอีก ไมเปนไปเพื่อความสงบ ความ ขัดเกลา
          ๒. การใหนํ้าเมาก็เชนกัน แมจะเปนที่พอใจของผูรับแตไมเปนบุญ เพราะเปนไปเพื่อการเบียดเบียนตนเองบาง ผูอื่นบาง ความชั่วราย อุปทวเหตุอันมีสาเหตุมาจากนํ้าเมานั้นมีมาก การดื่มนํ้าเมาจึงเปนการทําลายตนเอง ทําลายสังคม 
          . การใหหญิงแกชาย ใหชายแกหญิง เพื่ออยูดวยกันเพื่อสืบพันธุ มองในสายตาพระอริยะท่านเห็นว่าเปนการใหทุกขแกกัน แมจะมองเห็นเปนความสุขเบื้องตน แตเปนทุกขในกาลตอมา เปนการ กอภพกอชาติ (ความเกิด) อันเปนเบื้องตนแหงความแก ความเจ็บไข และความตาย ในระหวางมีชีวิตอยู ก็มีอุปสรรค มีปญหาสารพัดอยางอันสืบเนื่องมาจากการใชชีวิตคู ไมไดทุกขคนเดียว แตดึงคนอื่นให้พลอยทุกข์ด้วยเปนพวง บางครอบครัวหากินคนเดียว คนอื่นปวยบาง พิการบาง ตองแบกภาระอันหนักเพียงไร บางคนไมปวย ไมพิการ แตนิสัยไมดี เอาเปรียบคนอื่น กินแรงคนอื่น เสวยผลงานที่คนอื่นทํา คนอื่นก็พูดไมออก เพราะอยูในครอบครัวเดียวกันจะไมเอื้อเฟอก็ทําไมได การมีครอบครัวจึงเปนเรื่องสรางความยุงยากตั้งแตตนจนปลาย พระอริยเจาทั้งหลายจึงกล่าวเตือนไว้ว่า ฆราวาสให้เต็มได้ยากเหมือนหม้อทะลุ (ฆราวาโส ฉินฺนฆโฏวิย) 
          จําไดวา เคยเขียนไวในที่บางแหงวาพวกเราควรจะเสียใจที่ทําใหใคร ตอใครเกิดมา เพราะเขาตองมาเผชิญกับความทุกขนานัปการตลอดชีวิต เหมือนเรามอบมรดกทุกขใหแกเขา อีกอยางหนึ่งคนสวนมากเปนคนไมดี คือไมไดมาตรฐานของมนุษยที่ดี รกสังคมและทําใหสังคมพิการ กอทุกขใหแกตัวเองและสังคมสวนรวม มนุษยที่ดีมีนอยเกินไปและเปนภาระอันหนักในการแกปญหาสังคม
          ๔. การใหพอโคแกแมโคเพื่อสืบพันธุ ก็ทํานองเดียวกันกับขอ ๓ ยิ่งพวกสัตวเลี้ยง ยิ่งมีความทุกขมาก เพราะถูกผูก ถูกลาม ไมมีสิทธิแกตัวเอง สุดแลวแตเจาของจะแยกแมแยกลูกไปไวที่ไหนใหใครเอาไปฆาไปแกงที่ไหนก็ได ลําพังตัวมันเองก็มีทุกขเพียบแปรอยูแลว มีลูกออกมาจะทําอยางไร สัญชาตญาณในการสืบพันธุ ทําใหมันทําไปอยางมืดบอดและจมอยูในหวงทุกข สมัยนี้มีวิธีผสมพันธุเทียม (โดยวิธีวิทยาศาสตร) ความสุขเล็กนอย อันมันพึงไดจากการสืบพันธเองซึ่งเปนรางวัลหรือเหยื่อที่ธรรมชาติตั้งไวให มันก็ไมมีสิทธิไดเสียแลว แตมันตองตั้งครรภเอง คลอดลูกเองตามกําหนด นี่ก็เปนอีกวิธีหนึ่งที่มนุษยผูมีปญญารูจักเอาเปรียบสัตว 
          ๕. การให้จิตรกรรมอันเกี่ยวกับเมถุนสังโยค คือ จิตรกรรมที่เกี่ยวกับการเสพกามเกิดขึ้นแมในวัดพุทธศาสนา เพราะอิทธิพลของลัทธิพุทธตันตรยานในมหายานประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ ๙ สมัยราชวงคคุปตะแหงอินเดีย ลัทธิตันตระ เปนสาขาหนึ่งของมหายาน 
          ลัทธินี้ เรียกวา มนตรยานบาง วัชรยานบาง รหัสยานบาง เอาแตสวดออนวอน บูชารูปเคารพพระ โพธิสัตวคลายเทพเจาฮินดู ไมสนใจการปฏิบัติธรรม นอกนี้พระในนิกายนี้ ซึ่งนิยมเรียกกันวา นักสิทธนั้น นิยมมีเมียมีลูกเสียอีก ประพฤติตัวมัวเมาในกามคุณ ชอบเมาสุราเหมือนคฤหัสถทุศีลทั่วไป 
          นักบวชของลัทธินี้แบงเปน ๒ พวกใหญ คือพวกขวา (ทักษิณจารี) และพวกซาย (วามจารี) พวกขวายังประพฤติอยูในธรรมวินัย ยังประพฤติ พรหมจรรย
          สวนพวกซาย (วามจารี) นั้นซายเต็มที่ มีบัญญัติอะไรๆ ที่ผิดพระธรรมวินัยของพระพุทธเจาไปหมด เกณฑใหพระพุทธรูปมีศักติ คือ ชายา (เชนเดียว กับพระอิศวร) มีรูปอุมกอดศักติ การเสพกาม คือ การบรรลุวิโมกขหรือนิพพาน ผูใดมอบสตรีใหสิทธะ ผูนั้นจะไดกุศลแรง มีมนตที่เรียกวา ธารณีประจําองค พระพุทธเจาและพระโพธิสัตวตางๆ ลวนแตขลังๆ ทั้งนั้น สวดจบเดียว มีอานิสงสไดเปนพระอินทรรอยชาติ เพียงเขียนใสแผนผาแขวนไวใครเดินลอด มีอานิสงสทําใหพนบาปกรรมที่ทํามา ๙๐ กัป ตัวอยาง มนต เชน โอม มณี ปทฺเมหุมฺ (แปลวา ดวงแกวเกิดในดอกบัวเทานั้นเอง) 
          มีการบัญญัติมณฑลบูชา เรียกวา มันตรเวที เชน จะทําพิธีใดบูชา พระโพธิสัตวองคใด จะตองมีเครื่องบูชาเทานั้นเทานี้ จะตองจัดบริเวณพิธี ดวยอุปกรณอยางนั้นอยางนี้ ตัวอยางมณฑลบูชา พึงเห็นไดจากพิธีพุทธาพิเษกในเมืองไทยซึ่งสืบมาแตนิกายนี้*
          เมื่อนักบวชในลัทธิตันตระชอบหมกมุนในกามคุณเชนนี้ จิตรกรรมตาม วัดวาอารามตางๆ จะออก มาเชนไร? ยอมจะออกมาตามจิตสํานึกของนักบวชนั่นเอง จึงมีจิตรกรรมเมถุนสังโยคอยูทั่วไป การให้จิตรกรรม เช่นนี้ไมเปนบุญ แตกลับจะเปนบาป 
          กามคุณเปนอันตรายของนักพรต-นักบวช มีความโนมเอียงทางใด ยอมชักจูงผูอื่นที่เปนนักบวชดวยกันหรือคฤหัสถผูเคารพนับถือใหไปทางนั้น 
          พระพุทธเจาของลัทธิตันตระแทนที่จะเปนบรรพชิตผูสงบเหมือนพระ พุทธรูปในลัทธิเถรวาท กลับเปนพระทรงเครื่องกษัตริย พระพุทธรูปทรง เครื่องในเมืองไทยมีกําเนิดมาจากลัทธิตันตระนี้
*เสถียร โพธินันทะ ใน ประวัติศาสตรพุทธศาสนา ภาค ๑ หนา ๑๔๗ มหามกุฎราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๑๔
          นอกจากนี้ยังเกณฑใหพระพุทธเจาและพระโพธิสัตวตางๆ มีปางดุ ปางโกรธ ปางใจดี เหมือนกับพระเจาของฮินดูเชนพระอิศวร ปางดุเปนไภรวะ ปางโกรธเปนมหากาฬ พระอุมาปางดุเปนทุรคา ปางโกรธเปนกาลี ปางใจดี เปนอุมา พระพุทธเจาและพระโพธิสัตวก็มีปางอยางนั้นเหมือนกันเพื่อปราบมาร ตัวอยางเชนพระมัญชุศรีโพธิสัตว ปางดุทรงเนรมิตเปน ยมฆาตกะ เพื่อ ปราบพญายม ปางนี้มีศีรษะเปนโค สีพระกายนํ้าเงินเขม มีหลายเศียร หลาย หัตถ เอาหัวกะโหลกเปนมาลัยเหยียบบนรางของเทพมนุษย และอสุรยักษ ตางๆ (เสถียร โพธินันทะ, ประวัติศาสตรพุทธศาสนา ภาค ๑ อางแลว) 
          ทาทีของลัทธิตันตระ ความตั้งใจเดิมเหมือนจะแขงกับศาสนาฮินดู แยงประชาชนกับศาสนาฮินดู ตองการใหประชาชนมาเลื่อมใสดวยการเอา ใจเขา มีกิจกรรมอันสนองกิเลสของชาวบาน แตผลกลับเปนการทําลาย ศาสนาของตัวเอง ขอใหระวังกันไวดวย

อ.วศิน  อินทสระ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น