วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

วิเคราะห์ปัญหา เรื่องการเหยียบผ้าขาวของภิกษุ

          มีเรื่องเล่าไว้ในโพธิราชกุมารสูตร (๑๓/๔๔๒/๔๘๘) วาโพธริาชกมุารสรางปราสาทใหมตองการทําบุญขึ้นปราสาท โดยอาราธนาพระผูมีพระภาคเจาพรอมดวยภิกษุสงฆไปเสวยและฉันที่ปราสาทเพื่อเปนสิริมงคล ทรงใหปูผาขาวเปนทางยาวตั้งแตพื้นปราสาทลงมาจนถึงบันไดขั้นสุดทาย (นับจากบน, นับเปนบันไดขั้นแรกถานับจากลาง) 
          เมื่อถึงเวลาก็เสด็จมายืนตอนรับพระผูมีพระภาค กราบทูลขอใหทรงเหยียบผาขาวที่ปูไวถึง ๓ ครั้ง แตพระศาสดาทรงนิ่งเสียไมทรงเหยียบ ทรงเหลียวดูพระอานนท 
          พระอานนทจึงทูลโพธิราชกุมารวา ขอใหเก็บผาเสีย พระผูมีพระภาคเจาไมทรงเหยียบผาขาว เพื่อทรงอนุเคราะหผูที่เกิดมาภายหลัง 
          ในพระวินัยปฎก จุลวรรค ขุททกวัตถุขันธกะ (๗/๔๙/๑๒๒) เลาเรื่อง ไวทํานองเดียวกัน
          ตางพยัญชนะกันเพียงตัวเดียวคือ ในโพธิราชกุมารสูตรใชคําวา ปจฺฉิมํ ชนตํ ตถาคโต อปโลเกติ แปลวา พระตถาคตทรงแลดูคนที่เกิดมาภายหลัง 
          สวนในพระวินัยปฎก ใชคําวา ปจฺฉิมํ ชนตํ ตถาคโต อนุกมฺเปติ แปลวา พระตถาคตทรงอนุเคราะหคนที่เกิดมาภายหลัง 
          แตความหมายจะเหมือนกันคือ ทรงทําไวเปนแบบอยางแกคนภายหลัง ทํานองเดียวกับที่พระมหากัสสปถือธุดงคอยูปา และรับเฉพาะบังสุกุลจีวร เปนตน เมื่อพระผูมีพระภาคตรัสใหอยูในบานเมืองเสียบาง รับจีวรที่มีผูนํามาถวายเสียบางเพราะแกแลว พระมหากัสสปทูลวา เพื่ออนุเคราะห (คือ ทําไวเปนแบบอยางแกคนรุนหลัง) 
          เมื่อสตรีนางหนึ่งมาใกลชิดปรนนิบัติทานดวยการกวาดบริเวณกุฏิ ตั้งนํ้าฉัน นํ้าใชไวให พอทาน ทราบทานก็ไลไป แมเขาจะรองไหครํ่าครวญ แตทานก็ไมยอม 
          ทานบอกวา เกรงวาพระธรรมกถึกรุนหลังจะนั่งเทศนยกตัวอยางทานวา แมพระมหากัสสปก็มีผูหญิงมาปรนนิบัติรับใชใกลชิด (ไมตองถึงขั้นติดตามไปทุกหนทุกแหงเปนเวลาหลายๆ ป) 
          ทานบอกวา “การทําบุญเปนหนาที่ของผูตองการบุญก็จริง แตการ สํารวมระวังก็เปนหนาที่ของพระ” 
          ทานตองทําหนาที่ของพระใหสมบูรณ 
          กลับมาพูดเรื่องการเหยียบผาขาวตอ พระพุทธเจาทรงอาศัยเหตุที่เกิดขึ้น ณ ปราสาทของโพธิราชกุมาร จึงทรงบัญญัติสิกขาบทวา
          “ภิกษุไมควรเหยียบผาขาว ภิกษุใดเหยียบเปนอาบัติทุกกฏ” (ทุกกฎ แปลวา ไมดี, ไมงาม , ไมสมควร)        (วิ. ๗/๔๙/๑๒๓) 
          ตอมาหญิงคนหนึ่งไมมีครรภนิมนตภิกษุทั้งหลายแลว ปูผาขาวให เหยียบ แตภิกษุเกรงผิดพระพุทธบัญญัติจึงไมเหยียบ แมจะออนวอนวา เพื่อเปนมงคลก็ไมเหยียบ 
          หญิงนั้นติเตียนวา เขาออนวอนใหเหยียบเพื่อเปนมงคลก็ไมยอมเหยียบ 
          ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแดพระผูมีพระภาคเจา 
          พระพุทธองคทรงอนุญาตวา “คฤหัสถตองการมงคล ออนวอนใหเหยียบ ใหภิกษุเหยียบผาขาวได” (เลมเดียวกันขอ ๑๒๔) 
          ตอมาอีก ภิกษุไมกลาเหยียบผาเช็ดเทา (สีขาว) แมจะลางเทาดีแลว  พระผูมีพระภาคทรง อนุญาตใหเหยียบไดหรือเช็ดได (เลมเดียวกันขอ ๑๒๕) 
          พิจารณาตามพุทธจริยาแลวจะเห็นวาไมประสงคจะทรงเหยียบและทรง หามภิกษุทั้งหลายมิให   เหยียบผาขาว เพื่อปองกันรอยเปอนติดผาดูสกปรก ไมงาม 
          ตามมาดูขอความในวินัยมุข (ตําราพระวินัย) สมเด็จพระมหาสมณ เจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงรจนาไว (เลม ๒ กัณฑที่ ๑๔) วาดวย จริยาวัตร 
          “ขอ ๑ มีหามไมใหเหยียบผาขาวที่เขาลาดไวในที่นิมนต... (ทรงเลาเรื่อง โพธิราชกุมาร)... แลวทรงแสดงพระมติวา “พระองคไมทรงเหยียบนั้นเพื่อที่จะไมทําเปรอะเปอนกระมัง ในบัดนี้เขาปูผาขาวเปนอาสนะที่พระนั่ง พระผู ไมระวังกิริยา เหยียบยํ่าผานั้นเปนรอยเปอน แสดงใหเห็นความสกปรก ไมรูจัก รักษามารยาทของพระ นาเกลียดอยูแมพระพวกเดียวกัน จะนั่งลงก็นาขยะ แขยง ผลแหงความไมรักษามารยาทในปจจุบัน สอใหเห็นมูลแหงการหามนี้ชัด เพราะฉะนั้น ควรระวังเพื่อจะไมเหยียบยํ่าผาอาสนะขาวที่ปูไวสําหรับนั่งเปนแตนั่งอยางเดียว สวนผาที่ปูไวสําหรับยืนในการมงคล และผาสําหรับเช็ดเทาที่ลางแลวยังเปยกเหยียบได ไมหาม  (วินัยมุขเลม ๒ หนา ๖๖-๖๗) 
          ลองเปดดูคําอธิบายของพระอรรถกถาจารยใน อรรถกถา โพธิราช กุมารสูตร ทานเลาวา พระผูมีพระภาคเจาทรงรําพึง ณ เชิงบันไดปราสาทวา โพธิราชกุมารทําสักการะใหญอยางนี้ตองการอะไร ก็ทรงทราบวาตองการ พระราชโอรส 
          พระราชกุมารทรงทราบมาวา ผูทําสักการะใหญตอพระพุทธเจาแลว ยอมไดสิ่งที่ตนปรารถนา จึงทรงตั้งพระทัยเสี่ยงทายวา ถาจักไดบุตรพระผูมี พระภาคจักทรงเหยียบผาขาว ถาไมไดบุตรจักไมทรงเหยียบ 
          พระศาสดาทรงพิจารณาแลวเห็นวาพระราชกุมารจักไมไดบุตรเพราะ กรรมเกาที่รวมกันทํากับภรรยาในอดีตชาติ จึงไมทรงเหยียบผา 
          (กรรมเกาที่วานั้นคือ เผาไขนกกิน ปงลูกนกและนกใหญในเกาะแหง หนึ่งในอดีตชาติ) 
          ลองพิเคราะหดู ถาขอความในอรรถกถาเปนจริง เหตุไฉนพระศาสดา จึงทรงบัญญัติสิกขาบทหามภิกษุทั้งหลายเหยียบผาขาว
          เรื่องของพระโพธิราชกุมารนาจะเปนกรณีเฉพาะ เหตุไฉนจึงทรงหาม ทั่วไป นาจะมีพุทธ           ประสงคแนนอนวา ไมตองการใหภิกษุเหยียบผาขาวอัน เปนเหตุใหผาเปอน ดูไมงาม ไมเหมาะสม 
          คราวนมี้าถึงกรณีที่ชาวบ้านอ้อนวอนให้เหยียบเพื่อเป็นมงคลทรงอนุญาตใหเหยียบได สาเหตุมาจากหญิงคนหนึ่งติเตียน เมื่อพระไมยอมเหยียบ 
          ในพระวินัยบอกดวยวาหญิงนั้นไมมีครรภ จะเปนไปไดหรือไมวานางตองการใหพระเหยียบ เพื่อนางจะไดมีครรภหรือเปนการเสี่ยงทายเชน เดียวกับพระโพธิราชกุมาร 
          กลับมาพิจารณาขอความในอรรถกถาโพธิราชกุมารสูตรใหม มีตอน หนึ่งนาสนใจ ทานเขียนไววา           “พระศาสดาทรงดําริวา ถาเราเหยียบผา พระราชกุมารจะเขาพระทัยผิด ถือผิดไดวา “เสียงเลาลือกันวาผูที่ทําสักการะแดพระพุทธเจาทั้งหลาย แลวยอมไดสิ่งที่ตนปรารถนา เราเองไดกระทําบุญเปนอันมาก แตไมไดบุตร คําเลาลือนั้นไมเปนจริงเลย” 
          แมพวกเดียรถียทั้งหลายก็จะติเตียนวา “สิ่งที่ควรทําของสมณะเหลานี้ ไมมีหรือ จึงเที่ยวเหยียบยํ่าผานอยไปอยูอยางนี้” อนึ่ง ในบัดนี้ภิกษุเปนอัน มากรูจิตของผูอื่น เมื่อทราบวาควรเหยียบก็เหยียบ เมื่อทราบวาไมควร เหยียบก็ไมเหยียบ แตในอนาคตผูมีอุปนิสัยเชนนั้นมีนอย 
          เมื่อภิกษุเหลานั้นเหยียบผา ถาสิ่งที่ชาวบานปรารถนาสําเร็จก็ดีไปแต ถาไมสําเร็จเขาก็จักเดือดรอนและติเตียนวา เมื่อกอนนี้ บุคคลทําบุญในหมูภิกษุแลวยอมไดสิ่งที่ตนปรารถนา แตมาบัดนี้หาเปนเชนนั้นไม ภิกษุเมื่อกอนสมบูรณดวยคุณธรรม ภิกษุพวกนี้ในบัดนี้ ไมอาจทําตนใหสมบูรณดวย คุณธรรมได” 
          พิจารณาตามนี้แลว เรื่องการเหยียบผาขาวของภิกษุดูจะเปนการเสี่ยง ตอหลายๆ เรื่องและพระอัธยาศัยของพระศาสดาก็ดูเหมือนจะไมทรงนิยม ในการนี้ไมทรงเหยียบเองและทรงวางเปนระเบียบไวไมใหภิกษุเหยียบ ทรงปรับอาบัติทุกกฏ 
          ตอมาภายหลังจึงทรงผอนปรนอยางขัดไมได ทํานองเดียวกับที่ทรง อนุญาตใหสตรีบวชเปนภิกษุณี 
          ในสมัยนี้ ชาวบานที่นิยมใหภิกษุเหยียบผาขาวของตนแลวนําไปบูชา ดวยถือวาเปนมงคลก็เปนเพียงมงคลภายนอก เปนการตื่นเตนกันไป เปนมงคล ตื่นขาว ซึ่งพระพุทธเจาทรงหามไวในหลักธรรมอันเปนองคคุณของอุบาสก อุบาสิกา ทรงสอนใหเชื่อกฎแหงกรรมดีกวาเชื่อมงคลเชนนี้ 
          คณะศิษยของภิกษุผูที่ชาวบานตองการใหเหยียบผาขาวนี้ก็ตองวุนวาย กับเรื่องการจัดผาขาวไวแจก (หรือจําหนาย?) ใหเพียงพอแกผูตองการ ถาคนจํานวนมากๆ ก็เปนเรื่องเดือดรอนอยู (ถาไมเพลิดเพลินในการรับเงิน) 
          คําติเตียนของผูไมเสื่อมใสที่กลาวไวในอรรถกถาวา “สิ่งที่ควรทําของ สมณะเหลานี้ไมมีแลวหรือ จึงเที่ยวเหยียบผานอยไปอยูอยางนี้”  ก็จะมีขึ้นทุกหนทุกแหงที่ภิกษุนั้นไป 
          ถาชาวบานเอาไปเก็บไวดวยคิดวา ขลังและศักดิ์สิทธิ์ก็เอียงไปทางไสยศาสตรและสีลัพพตปรามาสคือความเชื่อถือที่งมงายเขาไปเกี่ยวของกับศีลและวัตรปฏิบัติอันไมถูกตองตามวัตถุประสงคของพุทธศาสนา ซึ่งมุงปลดเปลื้องสิ่งเหล่านี้ ขัดเกลาจิตใจให้ปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ เพื่อก้าวขึ้นสู่อริยภูมิ เปน พระอริยเจา อันควรจะเปนเปาหมายหลักของผูปฏิบัติธรรมและสํานักปฏิบัติธรรม 
          มิฉะนั้นแลวจะเปนการขัดแยงตัวเองคือทําใหเปาหมาย สิ่งที่พูดและ สิ่งที่ทําขัดแยงกันอยูในตัว เหมือนเราขับรถยนตเรงเครื่องเต็มที่แตเอากอนหินใหญไปขวางลอไว รถจะไปไดอยางไร ผูปฏิบัติธรรมควรตองนึกถึงอุปสรรคของการปฏิบัติดวย จึงจะไปไดดีเมื่อขจัดอุปสรรคไดแลว 
          อนึ่ง หญิงสาวที่นําผาขาวผืนนอยไปใหพระเหยียบนั้น เปนการใกลชิดกันโดยไมรูตัว และโดยไมจําเปน ถานานๆ ครั้งก็พอทําเนาแตถาบอยหรือทุกวัน เพราะผูตองการมงคลมีทุกวันเชนนี้นากลัวอันตรายแกพรหมจรรยแหงภิกษุนั้น ยิ่งถาฝายหญิงตั้งใจจะยั่วดวยแลว การแตงเนื้อแตงตัวก็ยอมสอไปทางนั้นกลายเปนวิสภาคารมณของพระอยางแนนอน (วิสภาคารมณ  คือ อารมณที่เปนขาศึก) 
          “การเขาเผชิญหนากับอารมณรายที่อาจหลบไดนั้นเปนการประมาท และเสี่ยงอันตรายโดยไรประโยชน สําหรับผูที่กําลังปฏิบัติอยูยังไมถึงที่สุด และเปนการคลุกคลีวุนวายสําหรับผูปฏิบัติถึงที่สุดแลว จิตเปนธรรมชาติที่กลับกลอกไดงาย จึงไมควรปลอยใหเปนโอกาสบอยๆ ควรปองกันไวกอนดีกวา การแกภายหลังมักจะแกไมทันหรือเปนการสายไปเสียแลวเสมอ มีบรรพชิตเปนอันมาก ทั้งในยุคนี้และยุคโนนปรากฏวาไดถึงความวิบัติ เพราะดูหมิ่นตอการปองกันไวกอนนี่เอง อารมณเหลานั้นแรกๆ พบกันไมเปนของแรงราย แตเมื่อเสวนากันบอยๆเขาก็กลายเปนแรงราย พอไดขณะหรือชวงเหมาะ ยั้งใจไมทัน ชั่วเวลาเล็กนอยเทานั้นก็กลายเปนอันตรายรายแรงถึงที่สุดขึ้น เหตุนั้นการหลบซึ่งเป็นการป้องกัน จึงดีกวาการแก เมื่อไมจําเปนก็ไมควรคบหากับอารมณอันอาจเปนอันตรายนั้นเลย ควรยึดพระพุทธภาษิตที่ ตรัสวา “ความประมาทเปนทางแหงความตาย” ไวใหมั่น 

(มีต่อ)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น