ในที่บรรยายแหงหนึ่ง ขาพเจาตั้งขอสงสัยวา “ทําไมชาวพุทธไทยเราสวนมากจึงตองการกันนักหนา เรื่องเหรียญเรื่องวัตถุมงคลซึ่งตองทําตองซื้อ หาดวยราคาแพง เชน ทองคํา เปนตน เขานับถืออะไรกันแน นับถือทองคํา หรือนับถือคําสอน ทําไมชาวพุทธเราจึงชวนกันหลงใหลในวัตถุ รูปเคารพ เครื่องรางของขลังซึ่งพระพุทธเจาผูทรงเปนศาสดาของเราไมสนับสนุน เพราะเปนสัญลักษณแหงความออนแอทางจิตใจ และผลก็คือมักมีเรื่องทะเลาะเบาะแวง ขัดผลประโยชนกันและตองเสียใจในเรื่องเหลานี้อยูเนืองๆ เพราะเขาทําเพื่อผลประโยชนของเขาเอง เพื่อการคา เพื่อหารายได ไมใชเพื่อผลประโยชน์ของผูบริโภค จนไดชื่อวาเปนพุทธพาณิชยไปแลว
การกอสรางก็เหมือนกันทําไมสรางอะไรกันใหญโตสวยงามนัก ใชคุมกับเงินหยาดเหงื่อแรงงานของประชาชนหรือเปลา มีอะไรคืนสูประชาชนหรือเปลา มีหลายอยางที่เกินจําเปนไมคุม ไมสมเปนชาวพุทธที่อยูอยางเรียบงายทําไมชอบทําแตสิ่งที่ตองลงทุนมากวุนวายมากและตองรบกวนเรี่ยไรประชาชนไมหยุดหยอน เอาวัตถุมงคลภายนอกมาลอใหตองการ อวดอภินิหารคุณวิเศษตางๆ ของวัตถุนั้น รวมทั้งคุณวิเศษของผูทําดวยซึ่ง หมิ่นเหมตออุตริมนุสธรรมเต็มที่ ทําไมไมเผยแผมงคลภายในคือมงคล ๓๘ ซึ่งพระพุทธเจาทรงประทานไวใหเผยแผใหมาก ยํ้าใหมาก
” มีผูเสนอความเห็นวา “สรางศาสนวัตถุเพื่อเรียกศาสนบุคคลและเพื่อ ประกาศศาสนธรรม”
ขาพเจาออกความเห็นวา “ถาเปนศาสนบุคคลที่ไรคุณภาพก็ไมมี ประโยชน เหมือนมีพลเมืองที่ติดยาเสพติดกันงอมแงม จะมีประโยชนอะไรตอบานเมือง มีแตจะเปนภาระตอบานเมือง เราตองไดพลเมืองที่มีคุณภาพ แมจะมีนอยก็ยังดีกวา อนึ่ง ศาสนธรรมที่ประกาศนั้นคืออะไร?”
มีทานผูหนึ่งเปนวิศวกรอยูตางจังหวัดเสนอความเห็นวา “เทาที่ฟงๆ การสอนศาสนาในตางจังหวัดเนนในทางใหเชื่อ เนนอภินิหารความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ ไมแนะนําทางความคิดปญญา เมื่อผูสอนศาสนธรรมอยางนั้น จะใหชาวพุทธเปนอยางไร และสอนปลูกฝงกันมานานเปนศตวรรษ”
ผูสอนจะตองไมเปนมัคคุเทศกผูหลงทางเสียเอง ถาหวังพึ่งผูสอนไมได ชาวพุทธที่ดีจะตองขวนขวายแสวงหาความรูทางศาสนาดวยตนเอง โดยการพึ่งตําราดีๆ หมั่นแสวงหา ผูแสวงหาสิ่งใดยอมไดพบสิ่งนั้น นี่คือทางออกหนึ่งของชาวพุทธในชวงวิกฤติศรัทธาที่เกิดขึ้นตอพระสงฆในปจจุบัน เปนพระสัพพัญุตญาณโดยแทที่พระพุทธเจาไมทรงมอบหมายใหพระสงฆรูปใดเปนศาสดาแทนพระองค แมตอนนั้นจะยังมีพระอรหันตที่ไววางใจได้อยู่เป็นจำนวนมาก แต่ทรงให้พระธรรมวินัยเป็นศาสดาแทนพระองค (เล่ม ๑๐/๑๗๘/๑๔) มิฉะนั้นแล้ว มาถึงสมัยนี้คงจะยุ่งเรื่องศาสดาแทนพระองค ไมนอยเลยทีเดียว
แมชาวพุทธที่เปนฆราวาสก็ตองถือเอาพระธรรมวินัยนั้นแหละเปนศาสดาเปนทางดําเนินชีวิตใหถือเอาวินัยเปนรูปแบบของชีวิตธรรมะเปนสาระของชีวิต ธรรมวินัยทั้ง ๒ อยางนี้ อาศัยกันเหมือนเนื้อในของผลไมกับเปลือกของผลไม อาศัยเปลือก, เนื้อในจึงอยูไดเจริญเติบโตขึ้นได แตถามีแตเปลือกไมมีเนื้อใน สาระของสิ่งนั้นก็ขาดหายไปเชน ทุเรียนถาไมมีเนื้อทุเรียนจะซื้อเปลือกไปทําอะไร ราคาและคาของมันควรจะเปนสักเทาใด ถาไมเอาไปตากแหงเปนเชื้อเพลิงก็คงไมมีราคาและไมมีคาอะไรเลย เห็นเขาทิ้งเปลือกกันเปนเขงๆ แตเมื่อมีเนื้อในอยูดวยราคาแพงหลายรอยบาท
ชีวิตคนเรามีวินัยก็เพื่อใหเขาถึงธรรม ใหธรรมเจริญงอกงามขึ้นใน กรอบของวินัยนั้น ถาธรรมซึ่งเปนสาระของชีวิตไมมีวินัยหรือกรอบที่มีไว ก็เปนของหลอกเหมือนทุเรียนที่มีแตเปลือก เพียงแตรักษารูปแบบไวใหคนหลงเขาใจผิด ไมสงสารเขาหรือ? วินัยของสงฆมีไวเพื่อใหทานเขาถึงธรรม ใหธรรมเจริญขึ้น
วินัยของคฤหัสถที่เรียกวา อาคาริยวินัยก็เชนเดียวกัน ทานสอนใหเวน สิ่งที่ควรเวน เชน ศีล ๕ กุศลกรรมบถ ๑๐ เปนอาคาริยวินัย กฎหมายระเบียบ ขอบังคับตางๆ ที่สังคมจัดทําขึ้นเพื่อความสงบเรียบรอยของสังคมก็จัดเขาในอาคาริยวินัยเหมือนกัน
พวกเราชาวพุทธไดเอื้อเฟอตอวินัยเหลานี้เพียงใด สังคมไทยคอนขางจะมีชื่อเสียงในเรื่องไมมีระเบียบวินัย เพราะเราไมรูจุดมุงหมายของวินัย จึงไมคอยสรางวินัยในตนเอง (Self-discipline) ใหเกิดขึ้น คอยระแวดระวังแตสภาพบังคับภายนอก เมื่อถูกบังคับก็หงุดหงิดรําคาญ เจริญดวยโทสะ เมื่อเปนเชนนี้ ธรรมจะเจริญขึ้นในใจไดอยางไร
พวกที่รักษาศีลก็ติดยึดมั่นถือมั่นในศีลพวกประพฤติวัตรตางๆ ก็ติดในวัตร ยึดมั่นถือมั่นในวัตรจนกลายเปนสีลัพพตปรามาส พวกทําสมาธิก็ติดในสมาธิเห็นสิ่งเหลานี้เปนยอดปรารถนาในชีวิตจนกลายเปนกับดักโดยไมรูตัว อันที่จริงสิ่งเหลานี้ คือ ศรัทธาก็ดี ศีลก็ดี วัตรก็ดี สมาธิก็ดี จุดมุงหมาย ไมใชเพื่อตัวเอง แตเพื่อเปนพื้นฐานไปสูปญญาเพื่อรูเห็นตามเปนจริง เปรียบเหมือนเราตองการจะสรางเรือนไม จุดมุงหมายคือการสรางเรือนที่ทําดวยไม เราไปตัดตนไม เราจะตองจองอยูที่ตนไมในขณะตัด ยืนบนพื้นดินที่หนาแนน ไมรวนไมซุยมีขวานหรือเลื่อยที่คมมีกําลังแขนที่แข็งแกรงพอที่จะตัดตนไมได
เทียบให้ดูดังนี้ ศรัทธาเหมือนจ้องมองดูศีล เหมือนพื้นที่หนาแน่น ปัญญาเหมือนเครื่องตัดที่คม สมาธิเหมือนกําลังแขนที่แข็งแรง
จะเห็นได้ว่าสิ่งอื่นๆเป็นเพียงอุปกรณ์ให้ปัญญาทำงานได้สะดวก เมื่อต้นไมลมลงแลว ถาไมเอาไปทําประโยชนอะไร การตัดตนไมนั้นก็สูญเปลา ปัญญาก็เป็นเครื่องมือไปสู่จุดมุ่งหมายอื่นที่สูงกว่า คือความหลุดพ้น ศรัทธา ศีล สมาธิ ปญญา และขอวัตรปฏิบัติตางๆ ยอมมุงสูความหลุดพนทั้งสิ้น เพราะธรรมวินัยนี้มีรสเดียวคือวิมุตติรส เหมือนแมนํ้าสายตางๆ เมื่อไหลลงสูมหาสมุทรแลวมีรสเดียวคือรสเค็ม นี่เปนความอัศจรรยอยางหนึ่งของพระ ธรรมวินัย ในความอัศจรรย ๘ ประการ (เลม ๒๕/๑๕๘/๑๑๘)
อีกขอหนึ่งคือมหาสมุทรยอมไมอยูรวมกับซากศพ ยอมซัดซากศพ ตางๆ ขึ้นฝงจนได ฉันใด ธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้น ผูใดทุศีล มีธรรมทราม มีความประพฤติไมสะอาด นารังเกียจ มีกรรมที่จะตองปกปด ไมใชสมณะ ไมใชพรหมจารี (ผูประพฤติพรหมจรรย) แตปฏิญาณตนวาเปนสมณะ เปน พรหมจารี เปนผูเนาใน ชุมอยูดวยราคะ หมักหมม สางไดยาก เหมือนกองหยากเยื่อ สงฆ (ที่ดี) ยอมไมอยูรวมกับภิกษุนั้น ยอมประชุมกันไลเธอออกไปเสียโดยเร็ว แมเธอจะนั่งอยูทามกลางสงฆก็ชื่อวาอยูหางไกลจากสงฆและ สงฆก็อยูหางไกลจากเธอนี้เปนความอัศจรรยอีกประการหนึ่งแหงพระธรรม วินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแลวเกิดความรื่นรมยชื่นชมยินดีในธรรมวินัยนี้ (อีก ๖ ประการของดไวไมนํามา กลาวในที่นี้) (เลม ๒๕/๑๕๖/๑๑๘)
ความอัศจรรยแหงพระธรรมวินัยของพระบรมศาสดาจะดํารงอยูไดเพียงใดก็อยูที่พุทธบริษัทนั่นเอง เมื่อจวนจะปรินิพพานไดตรัสวา “ถาภิกษุ (และพุทธบริษัท) เปนอยูโดยชอบ โลกก็จะไมวางจากพระอรหันต (อิเม จ สุภทฺท ภิกฺขู สมฺมา วิหเรยฺยํ อสฺุโ โลโก อรหนฺเตหิ อสฺส-เลม ๑๐/๑๗๖/ ๑๓๘) สําหรับภิกษุผูทุศีล มีบาปธรรมจะถูกกําจัดออกไปจากพระธรรมวินัย ใหคงอยูแตภิกษุผูมีศีล มีกัลยาณธรรมไดมากนอยเพียงใดก็สุดแลวแตสงฆ ผูบริหารการพระศาสนาจะคิดอยางไร และตัวภิกษุนั้นๆ เองมีความรับผิดชอบ ตอตนเอง ตอพระศาสนา และตอการเคารพกราบไหวของปวงพุทธศาสนิก เพียงใด
ขาพเจาเชื่อวา ทุกคนรักศาสนาของตนซึ่งตนเคารพนับถือ แตวิธี แสดงออกซึ่งความรักอาจไมเหมือนกัน บางคนไมทําใหเกิดโทษแตบางคน ทําใหเกิดโทษ กลายเปนประทุษรายโดยไมรูตัว เพราะขาดปญญาดังที่พระ บรมศาสดาตรัสวา
ผูกลาวตูพระองค ประทุษรายพระองคมี ๒ พวก คือ
๑. ผูโกรธ มีโทสะอยูภายใน (ทุฏโฐ โทสนฺตโร)
๒. ผูเลื่อมใสศรัทธา แต่ถือเอาผิด (สทโฺธ ทคุคฺหเิตน) (เลม ๒๐/๗๖/๒๖๘)
พวกแรก กลาวตู กลาวคัดคานเพราะไมชอบ ไมเลื่อมใส เปนศัตรูที่ เปดเผย มีทางปองกันไดมาก แตพวกที่ ๒ ศรัทธาเลื่อมใส-เลื่อมใสมากดวย แตเนื่องจากฟงมาผิด เรียนผิด เขาใจผิดหรือแกลงเขาใจผิดเพื่อผลประโยชนทางอื่นๆ จึงบิดเบือนคําสอน ทําลายคําสอนของพระพุทธเจาโดยไมรูตัวเปน การทําลายอยางเรนลับ เปนเหมือนปลวกทางศาสนา ทําลายอยางผูหวังดี แตโงเขลา รูเทาไมถึงการณ พวกรักเลื่อมใส หวังดีแตโงเขลานี้ ไดทําลายผูใหญที่ตนเคารพนับถือมามากตอมากแลว ผูใหญผูมีอํานาจขอใหระวัง คนโงหวังดีดวย เขาทําไปดวยความหวังดีนั่นแหละ แตเนื่องจากเขาโงจึงไมรูวาดีอยูตรงไหน พุทธบริษัทที่เลื่อมใสพระสงฆมากๆ ก็ขอใหระวังเรื่องนี้ดวย ชาวโลกไดพินาศวอดวายเพราะถือผิดมาก
ตอมากแลว (นฏฐา พหู ทุคฺคหิเตน โลกา-เลม ๒๘ ขอ ๙๘๙)
ในชวงวิกฤติศรัทธาเชนนี้พุทธบริษัทที่เปนคฤหัสถจึงควรตองหันมาพิจารณาทบทวนพฤติกรรมตางๆที่พวกเราเคยกระทํากันมาในอดีตตอพระพุทธศาสนาที่เราเคยเคารพเลื่อมใสอยางไรอะไรคือสวนผิดพลาดบกพรองซึ่งจะตองแกไข อะไรคือสวนดีซึ่งจะตองรักษาไว อะไรคือสวนที่จะ ตองพัฒนาใหเจริญยิ่งขึ้นเราตองสํารวจตัวเองเราตองตระหนักแลววาตองนับถือศาสนาดวยปญญาไมใชดวยศรัทธาเพียงอยางเดียว เพราะปญญาเปนหัวใจของบัณฑิตหรือผูรูผูฉลาดทั้งหลาย (ปฺา หเว หทยํ ปณฺฑิตานํเลม ๒๘ ขอ ๑๐๓๕)
อ. วศิน อินทสระ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น