ก็จะไม่สะดวก แล้วอาตมาเองก็นั่งขัดสมาธิเพชรไม่เป็น พยายามมาตั้งแต่บวชใหม่ๆ พยายามมา ๔๐ ปี จนหมดความหวังไปนานแล้ว การนั่งขัดสมาธิโดยเอาขาซ้อนกันนั้น เมื่อนั่งไปนานๆจะเกิดความเจ็บปวดตรงจุดที่มันทับกัน อาตมาจึงนั่งโดยเอาขาเรียงกันไว้ไม่ทับกันทำให้เลือดลมเดินสะดวกแล้วก็มีเบาะนั่งมาช่วยหนุนที่ก้นช่วยให้สันหลังตั้งตรงขึ้นมาให้หัวเข่าลงชิดพื้นเพื่อเป็นฐานที่มั่นคง
สมัยก่อนที่วัดป่านานาชาติ เมื่อครั้งที่อาตมาเพิ่งจะบวชได้แค่ปีสองปี ตอนนั้นมีพระองค์หนึ่งท่านได้ขึ้นไปอยู่กับหลวงปู่สิมที่เชียงใหม่หลวงปู่สิม ท่านมีเอกลักษณ์อย่างหนึ่งคือ ท่านจะให้ทุกคนจะเป็นพระก็ดีเป็นโยมก็ดีนั่งขัดสมาธิเพชร เมื่อพระองค์นั้นกลับมาวัดนานาชาติท่านก็บอกให้ญาติโยมเรานั่งขัดสมาธิเพชร อาตมาจำได้ว่าพอบอกปุ๊บพวกพ่อออกแม่ออกผู้เฒ่าผู้แก่ก็นั่งกันได้ปั๊บเลยเขาก็ว่า...มันจะยากอะไรล่ะนั่งขัดสมาธิเพชรมันพิเศษอะไรเหรอแหม....มันธรรมดาซะเหลือเกิน เพราะว่าเขานั่งกับพื้นกันมาตั้งแต่เกิดเลยไม่ยาก แต่สำหรับอาตมาและคนรุ่นหลังมันจะไม่เป็นอย่างนั้น
เราต้องสังเกตดูและหาวิธีที่จะให้ร่างกายมีความสมดุล เช่นเวลานั่งก็ให้มีฐานที่มั่นคงอาศัยเบาะช่วยหนุนสักหน่อยที่สำคัญ คือ สันหลังของเราต้องตรงเพราะบางทีเวลานั่งเหมือนเวลาอาตมานั่งฉันอาหารถึงจะนั่งขัดสมาธิให้ลองสังเกตดูสันหลังของเรามักจะโค้งอย่างนี้ ถ้ายืดอกขึ้นสักนิดให้สันหลังตรงร่างกายของเราก็จะสมดุล
หรือเวลาที่เรานั่งพับเพียบอาตมาเคยเห็นพวกแม่ออกบ้านบุ่งหวายตั้งแต่สมัย โน้นแหละเวลานั่งเขาจะไม่ค่อยนั่งขัดสมาธิเท่าไร ส่วนใหญ่จะนั่งพับเพียบแล้วก็ไม่ได้บังคับสันหลังให้ตรงเวลานั่งพับเพียบตัวมันก็จะเอนสันหลังก็ไม่ค่อยตรง เราจึงต้องหาวิธีที่จะให้สันหลังของเราตรงโดยไม่เป็นการบังคับพยายามให้มันเป็นไปตามธรรมชาติของร่างกายสันหลังเองมันก็อยากจะตรงอยู่แล้ว
เมื่อเราสามารถที่จะนั่งตรงได้ เลือดลมก็จะเดินสะดวก ลมหายใจเข้าลมหายใจออกก็จะเป็นปกติในลักษณะที่ไม่ได้บังคับไม่อึดอัดลมหายใจเข้า ก็จะมีความรู้สึกจากปลายจมูกลงไปถึงหน้าท้อง ลมหายใจออกจากหน้าท้องออกปลายจมูกก็จะอาศัยร่างกายทั้งหมด เวลานั่งสมาธิก็พยายามอย่าให้เครียดอย่าให้เป็นการบังคับจนเกินไป สังเกตดูว่าความสมดุลของร่างกายเป็นอย่างไรเมื่อเรานั่งได้อย่างเที่ยงตรงไม่เครียด และไม่บังคับจนเกินไปแม้จะนั่งนานๆก็จะสบายเลือดลมเดินสะดวกไม่เป็นภาระสำหรับร่างกายเรา
เช่นเดียวกันกับการนั่งเก้าอี้ เราก็ควรจะสังเกตดูท่านั่งของเรา บางทีเราก็นั่งเอนหลังหรือนั่งพิงๆซึ่งอาจจะอันตราย เพราะมันไม่สมดุลเดี๋ยวจะหลับเอาเวลาเรานั่งสมาธิบนเก้าอี้เราควรขยับขึ้นมาข้างหน้าสักนิดหนึ่งเพื่อหลังจะได้ไม่พิงพนัก และควรนั่งเก้าอี้ที่ขาของเราถึงพื้นถ้าไม่ถึงก็ให้เอาเบาะมารองเท้าเพื่อจะนั่งได้มั่นคง และมีความสมดุลอยู่ในตัว ฉะนั้นเราต้องสังเกตท่านั่งของเรา และฝึกตนให้นั่งในท่าที่สมดุล ไม่สร้างความเครียดให้ร่างกายแล้วก็ไม่สร้างความย่อหย่อนในร่างกายด้วย เราต้องฝึกให้มันพอดีๆ
การกำาหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออกน้ัน พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ให้เราภาวนาในลกัษณะหรือในวิธีการที่ยุ่งยากจนเกินไป ท่านสอนให้ทำแบบง่ายๆ ลมหายใจเข้ายาวก็รู้ว่าลมหายใจเข้ายาว ลมหายใจออกยาวก็รู้ว่าลมหายใจออกยาว ลมหายใจเข้าสั้นก็รู้ว่าลมหายใจเข้าสั้น ลมหายใจออกสั้นก็รู้ว่าลมหายใจออกสั้น คือไม่จำเป็นต้องทำให้มันมากเรื่องจนเกินไป ในการภาวนาเราควรที่จะทำแบบเรียบง่ายเพราะว่ามันจะช่วยสนับสนุนให้จิตใจของเราภายในเกิดความรู้สึกที่เรียบง่ายด้วย
ปัญหาของมนุษย์เรา คือ เรามักชอบเสริมชอบเพิ่มเติมจนทำให้มันยุ่งยากมากเรื่องและวุ่นวายลมหายใจเข้าก็เพียงกำาหนดรู้ลมหายใจออก ก็กำหนดรู้สังเกตดูว่ามันยาวหรือมันสั้นมีความรู้สึกอย่างไรเวลาลมหายใจเข้าเวลาลมหายใจออกแค่นี้แหละ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเริ่มแรกของการฝึกจิตส่วนการที่จะพินิจพิจารณา หรือจะวิเคราะห์ในธรรมะอันนี้ก็เก็บเอาไว้ก่อนให้ทำจิตใจให้สบายเสียก่อนทำจิตใจให้ปลอดโปร่งเสียก่อนทำจิตใจให้ใสสะอาดเสียก่อนจึงค่อยใคร่ครวญ หลักธรรมมันจึงจะเกิดผลสำคัญที่ว่า หน้าที่เบื้องต้น คือ การฝึกให้จิตใจสบายให้จิตใจปลอดโปร่งให้สงบความพอดีของจิตใจจะเกิดขึ้น
ความสงบนี้เป็นกำลังของจิตอย่างที่หลวงพ่อชาท่านว่าความแข็งแรงของร่างกายอยู่ที่การได้ออกกำลังกาย ได้ทำนี่ทำนั่นให้มากร่างกายเราก็จะแข็งแรง ส่วน ความแข็งแรงของจิตใจได้จากการที่เราทำจิตใจให้สงบ ทำให้มีเรื่องไม่มากในจิตใจ จิตก็จะยิ่งแข็งแรงขึ้น นี่เป็นส่วนที่เราต้องฝึกต้องหัดบางครั้งเวลาที่เราไปเกี่ยวข้องกับโลกภายนอก เราอาจจะต้องฝึกอะไรๆที่มันพิสดารสักหน่อย แต่นั่นไม่จำเป็นสำาหรับการฝึกจิตใจเพราะจิตมันชอบพิสดารอยู่แล้วเราต้องฝึกให้มันเรียบง่าย ต้องฝึกให้มันสงบฝึกให้มีเรื่องน้อยๆในจิต
การนั่งสมาธิภาวนา ไม่ใช่เกียวข้องกับจิตอย่างเดียว หากเราตอ้งอาศยัร่างกายด้วย ลมหายใจเข้าลมหายใจออกก็เป็นเรื่องของกายอาศัย การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออกที่สัมผัสส่วนต่างๆของร่างกาย เช่นเวลาลมเข้าก็สัมผัสที่ปลายจมูกท้องก็พองขึ้นมา เวลาลมออกท้องก็ยุบลง ล้วนเป็นความรู้สึกทางร่างกาย เราจึงสามารถที่จะกำาหนดได้โดยอาศัยร่างกายของเรา
พระพุทธเจ้าให้เรากำหนดรู้ลมหายใจเข้าก็รู้ รู้ทั่วถึงร่างกายของเราลมหายใจออกก็รู้ทั่วถึงร่างกายของเราเราจะรู้สึกได้ว่าร่างกายเราเป็นอย่างไร เพราะลมที่สูดเข้ามาและลมที่ปล่อยออกไปคือส่วนหนึ่งของร่างกายมันก็เป็นอากาศธาตุตามธรรมชาติที่เราต้องอาศัยเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกาย
ในภาษาบาลีเราใช้คำศัพท์ว่า อานาปานสติ คำว่า ปานะ คือ ลมเข้าลมออก เป็นสิ่งที่ให้ชีวิตเช่นเวลาเราสมาทานศีลปานาติปาตา หมายถึง สิ่งที่มีชีวิตเราไม่ตัดชีวิตของใคร สิ่งที่ให้กำลังชีวิตกับเราเรียกว่าลมปราณมันให้พลังมันให้กำลัง แล้วให้เราสังเกตดูลมหายใจเข้าดูความรู้สึกดูว่ากำลังของชีวิตนี้มันจะแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายได้อย่างไร ลมปราณทำให้เรามีกำลังมีพลังทำให้ร่างกายมีชีวิตหรือมีกำลัง พอที่จะนั่งให้เที่ยงตรงอย่างสมดุลสะดวกสบาย
เวลาเรานั่งนานๆไป บางทีจะเกิดเหน็บชาเมื่อหายใจเข้าออกให้เราลองตั้งใจที่จะให้ลมปราณซ่านไปทั่วร่างกาย ส่งไปถึงขาที่กำลังเหน็บชาจะทำให้อาการเหน็บชาค่อยๆหายไป โดยปกติเราจะไม่ได้สังเกตอย่างใกล้ชิด บางทีถ้ามันเจ็บมันปวดที่ใดที่หนึ่ง เช่น ที่หลังของเราเราก็เอาลมหายใจเข้าลมหายใจออกเข้าไปสู่บริเวณที่เจ็บที่ปวด มันจะเหมือนกับเราให้พลังให้กำลัง คือ กำลังลมที่ว่าเป็นเหมือน“พลังชีวิต” ให้เราตั้งสติไว้ ตั้งผู้รู้เอาไว้ เดี๋ยวมันจะก็ค่อยๆเปลี่ยนความเจ็บความปวดก็จะหายมันเป็นไปได้นะมันไม่ใช่สิ่งที่เกินความสามารถของเราทุกคน แล้วก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดอะไร มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ลมหายใจเป็นสิ่งที่เรามักจะมองข้ามและไม่ได้ใส่ใจ
บางทีเราก็คิดแคบเกินไป เช่น คิดว่าเราจะต้องรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออกที่ปลายจมูก จุดนี้จุดเดียวไม่ให้มันกระดุกกระดิกเลยไม่ให้ความรู้สึกนี้หลุดไปไหน และต้องไม่ให้มีความคิดแทรกซ้อนเข้าไป นั่งกำหนดลมหายใจไป ลมหายใจเข้าก็เครียด ลมหายใจออกก็เครียด มันก็เลยไม่สบายเราต้องรู้จักฝึกรู้จักหัดให้ความสนใจ และสังเกตว่าเอ...ทำอย่างไรจึงจะพอดี ทำอย่างไรจึงจะให้ทั้งร่างกายและจิตใจได้ภาวนาได้ปฏิบัติ เพราะร่างกายและจิตใจมันอิงอาศัยกันเป็นการสร้างความรู้ในเรื่องของตัวเองฝึกให้มีความชำนาญลมหายใจเข้าก็กำหนดรู้ลมหายใจออกก็กำหนดรู้ ทำความสมดุลให้เกิดขึ้นทำความพอดีให้เกิดขึ้นลมหายใจเข้าก็สบายลมหายใจออกก็สบาย มันเป็นสิ่งที่เราต้องสนใจฝึกหัดไว้
การภาวนาด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออกนั้น ในแง่หนึ่งก็เป็นการภาวนาโดยอาศัยสิ่งที่เรามีอยู่แล้วกับตัวไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเราก็สามารถกำหนดได้ ส่วนอีกแง่หนึ่ง ลมก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่เราจะไม่ต้องไปยึดหรือหลงว่าเป็นเรา หรือเป็นของๆเรา มันยากมากนะที่ใครจะคิดว่า......โอ.้.ลมหายใจเข้าเป็นของเรา ลมหายใจออกก็เป็นของเรา.... เพราะถ้ามันเป็นของเราแล้ว .....โอ.้.หายใจออกไปแล้ว เราจะเอามันกลับมาได้อย่างไร........ถ้าคิดเป็นเจ้่าของลมมันจะยุ่งมันไม่น่าจะมีใครคิดอย่างนั้นเพราะลมเป็นของธรรมชาติ
เช่นเดียวกัน เมื่อพูดถึงการฝึกให้เป็นผู้รู้ ฝึกให้เป็นผู้ที่สงบ การเป็นผู้รู้ก็เป็นเรื่องของธรรมชาติความสงบก็เป็นของธรรมชาติ การเป็นผู้มีปัญญาก็เป็นของธรรมชาติ ธรรมดาเราอาศัยสิ่งที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติเพียงแต่ต้องทำให้มันเด่นขึ้น ต้องทำให้เรารู้เรื่องขึ้น ถ้าหากว่าเราไม่ได้รู้อย่างชัดเจนเราก็ย่อมไม่ได้ประโยชน์ หากกลับเสียโอกาสมันก็เพียงแต่จะผ่านไปๆโดยเราไม่สังเกต แต่ถ้าเราได้สังเกตตามดูผู้รู้โดยอาศัยของธรรมดาที่มีอยู่แล้ว ก็ย่อมจะเกิดประโยชน์แก่เราได้ จะเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากสำหรับเราอาศัยของธรรมดาๆลมหายใจเข้าก็รู้ ลมหายใจออกก็รู้ มันเป็นเรื่องง่ายๆ แต่มนุษย์เรามักจะทำสิ่งที่ง่ายให้มันยาก จึงสมควรต้องฝึกต้องหัด
ขอฝากเอาไว้เป็นข้อคิดในธรรมะำำหรับเช้าวันนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น