วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ยกจิตสู่กิจ (ต่อ)

ก็จะไม่สะดวก แล้ว​อาตมาเองก็นั่งขัดสมาธิเพชรไม่เป็น​ พยายามมาตั้งแต่บวชใหม่ๆ​ พยายามมา​ ๔๐​ ปี จนหมดความหวังไปนานแล้ว การนั่งขัดสมาธิโดยเอาขาซ้อนกันนั้น​ เมื่อนั่งไปนานๆ​จะเกิดความเจ็บปวดตรงจุดที่มันทับกัน​ อาตมาจึงนั่งโดยเอาขาเรียงกันไว​้ไม่ทับกัน​ทำให้เลือดลมเดินสะดวก​แล้วก็มีเบาะนั่งมาช่วยหนุนที่ก้น​ช่วยให้สันหลังตั้งตรงขึ้นมา​ให้หัวเข่าลงชิดพื้น​เพื่อเป็นฐานที่มั่นคง 
          สมัยก่อนที่วัดป่านานาชาติ เมื่อครั้งที่อาตมาเพิ่งจะบวชได้แค่ปีสองปี ตอนนั้นมีพระองค์หนึ่งท่านได้ขึ้นไปอยู่กับหลวงปู่สิมที่เชียงใหม่​หลวงปู่สิม ท่านมีเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง​คือ​ ท่านจะให้ทุกคน​จะเป็นพระก็ดี​เป็นโยมก็ดี​นั่งขัดสมาธิเพชร​ เมื่อพระองค์นั้นกลับมาวัดนานาชาต​ิท่านก็บอกให้ญาติโยมเรานั่งขัดสมาธิเพชร​ อาตมาจำได้ว่า​พอบอกปุ๊บ​พวกพ่อออกแม่ออก​ผู้เฒ่าผู้แก่ก็นั่งกันได้ปั๊บเลย​เขาก็ว่า...มันจะยากอะไรล่ะนั่งขัดสมาธิเพชรมันพิเศษอะไรเหรอ​แหม....มันธรรมดาซะเหลือเกิน​ เพราะว่าเขานั่งกับพื้นกันมาตั้งแต่เกิดเลยไม่ยาก แต่สำหรับอาตมาและคนรุ่นหลังมันจะไม่เป็นอย่างนั้น​ 
          เราต้องสังเกตดูและหาวิธีที่จะให้ร่างกายมีความสมดุล ​เช่น​เวลานั่งก็ให้มีฐานที่มั่นคง​อาศัยเบาะช่วยหนุนสักหน่อย​ที่สำคัญ คือ สันหลังของเราต้องตรง​เพราะบางทีเวลานั่ง​เหมือนเวลาอาตมานั่งฉันอาหาร​ถึงจะนั่งขัดสมาธ​ิให้ลองสังเกตดู​สันหลังของเรามักจะโค้งอย่างนี้​ ถ้ายืดอกขึ้นสักนิดให้สันหลังตรง​ร่างกายของเราก็จะสมดุล 
          หรือเวลาที่เรานั่งพับเพียบ​อาตมาเคยเห็นพวกแม่ออกบ้านบุ่งหวาย​ตั้งแต่สมัย โน้นแหละ​เวลานั่งเขาจะไม่ค่อยนั่งขัดสมาธิเท่าไร ​ส่วนใหญ่จะนั่งพับเพียบ​แล้วก็ไม่ได้บังคับสันหลังให้ตรง​เวลานั่งพับเพียบตัวมันก็จะเอน​สันหลังก็ไม่ค่อยตรง ​เราจึงต้องหาวิธีที่จะให้สันหลังของเราตรงโดยไม่เป็นการบังคับ​พยายามให้มันเป็นไปตามธรรมชาติของร่างกาย​สันหลังเองมันก็อยากจะตรงอยู่แล้ว​ 
          เมื่อเราสามารถที่จะนั่งตรงได้ เลือดลมก็จะเดินสะดวก ​ลมหายใจเข้าลมหายใจออกก็จะเป็นปกติในลักษณะที่ไม่ได้บังคับ​ไม่อึดอัด​ลมหายใจเข้า ก็จะมีความรู้สึกจากปลายจมูกลงไปถึงหน้าท้อง ​ลมหายใจออกจากหน้าท้องออกปลายจมูกก็จะอาศัยร่างกายทั้งหมด ​เวลานั่งสมาธิก็พยายามอย่าให้เครียด​อย่าให้เป็นการบังคับจนเกินไป​ สังเกตดูว่าความสมดุลของร่างกายเป็นอย่างไร​เมื่อเรานั่งได้อย่างเที่ยงตรง​ไม่เครียด​ และไม่บังคับจนเกินไป​แม้จะนั่งนานๆ​ก็จะสบาย​เลือดลมเดินสะดวก​ไม่เป็นภาระสำหรับร่างกายเรา​ 
          เช่นเดียวกันกับการนั่งเก้าอี้​ เราก็ควรจะสังเกตดูท่านั่งของเรา ​บางทีเราก็นั่งเอนหลังหรือนั่งพิงๆ​ซึ่งอาจจะอันตราย เพราะมันไม่สมดุล​เดี๋ยวจะหลับเอา​เวลาเรานั่งสมาธิบนเก้าอ​ี้เราควรขยับขึ้นมาข้างหน้าสักนิดหนึ่งเพื่อหลังจะได้ไม่พิงพนัก​ และควรนั่งเก้าอี้ที่ขาของเราถึงพื้น​ถ้าไม่ถึงก็ให้เอาเบาะมารองเท้า​เพื่อจะนั่งได้มั่นคง​ และมีความสมดุลอยู่ในตัว ฉะนั้นเราต้องสังเกตท่านั่งของเรา และฝึกตนให้นั่งในท่าที่สมดุล ​ไม่สร้างความเครียดให้ร่างกาย​แล้วก็ไม่สร้างความย่อหย่อนในร่างกายด้วย​ เราต้องฝึกให้มันพอดีๆ​        
          การกำาหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออกน้ัน ​พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ให้เราภาวนาในลกัษณะหรือในวิธีการที่ยุ่งยากจนเกินไป ท่านสอนให้ทำแบบง่ายๆ ​ลมหายใจเข้ายาวก็รู้ว่าลมหายใจเข้ายาว​ ลมหายใจออกยาวก็รู้ว่าลมหายใจออกยาว​ ลมหายใจเข้าสั้นก็รู้ว่าลมหายใจเข้าสั้น ​ลมหายใจออกสั้นก็รู้ว่าลมหายใจออกสั้น ​คือไม่จำเป็นต้องทำให้มันมากเรื่องจนเกินไป​ ในการภาวนา​เราควรที่จะทำแบบเรียบง่าย​เพราะว่ามันจะช่วยสนับสนุนให้จิตใจของเราภายในเกิดความรู้สึกที่เรียบง่ายด้วย 
          ปัญหาของมนุษย์เรา ​คือ ​เรามักชอบเสริม​ชอบเพิ่มเติมจนทำให้มันยุ่งยากมากเรื่อง​และวุ่นวาย​ลมหายใจเข้าก็เพียงกำาหนดรู้​ลมหายใจออก ก็กำหนดรู้​สังเกตดูว่ามันยาวหรือมันสั้น​มีความรู้สึกอย่างไรเวลาลมหายใจเข้าเวลาลมหายใจออก​แค่นี้แหละ​ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเริ่มแรกของการฝึกจิต​ส่วนการที่จะพินิจพิจารณา หรือจะวิเคราะห์ในธรรมะ​อันนี้ก็เก็บเอาไว้ก่อน​ให้ทำจิตใจให้สบายเสียก่อน​ทำจิตใจให้ปลอดโปร่งเสียก่อน​ทำจิตใจให้ใสสะอาดเสียก่อน​จึงค่อยใคร่ครวญ หลักธรรม​มันจึงจะเกิดผล​สำคัญที่ว่า หน้าที่เบื้องต้น​ คือ​ การฝึกให้จิตใจสบาย​ให้จิตใจปลอดโปร่ง​ให้สงบ​ความพอดีของจิตใจจะเกิดขึ้น​ 
          ความสงบนี้เป็นกำลังของจิต​อย่างที่หลวงพ่อชาท่านว่า​ความแข็งแรงของร่างกายอยู่ที่การได้ออกกำลังกาย ได้ทำนี่ทำนั่นให้มากร่างกายเราก็จะแข็งแรง ส่วน ความแข็งแรงของจิตใจได้จากการที่เราทำจิตใจให้สงบ ทำให้มีเรื่องไม่มากในจิตใจ จิตก็จะยิ่งแข็งแรงขึ้นนี่เป็นส่วนที่เราต้องฝึกต้องหัด​บางครั้งเวลาที่เราไปเกี่ยวข้องกับโลกภายนอก ​เราอาจจะต้องฝึกอะไรๆ​ที่มันพิสดารสักหน่อย​ แต่นั่นไม่จำเป็นสำาหรับการฝึกจิตใจ​เพราะจิตมันชอบพิสดารอยู่แล้ว​เราต้องฝึกให้มันเรียบง่าย​ ต้องฝึกให้มันสงบ​ฝึกให้มีเรื่องน้อยๆ​ในจิต​
          การนั่งสมาธิภาวนา ไม่ใช่เกียวข้องกับจิตอย่างเดียว  ​หากเราตอ้งอาศยัร่างกายด้วย​ ลมหายใจเข้าลมหายใจออกก็เป็นเรื่องของกาย​อาศัย การกำหนดรู้ลมหายใจเข้า​ลมหายใจออกที่สัมผัสส่วนต่างๆ​ของร่างกาย​ เช่นเวลาลมเข้าก็สัมผัสที่ปลายจมูก​ท้องก็พองขึ้นมา​ เวลาลมออกท้องก็ยุบลง​ ล้วนเป็นความรู้สึกทางร่างกาย​ เราจึงสามารถที่จะกำาหนดได​้โดยอาศัยร่างกายของเรา​ 
          พระพุทธเจ้าให้เรากำหนดรู้​ลมหายใจเข้าก็รู้​ รู้ทั่วถึงร่างกายของเรา​ลมหายใจออกก็รู้ทั่วถึงร่างกายของเรา​เราจะรู้สึกได้ว่าร่างกายเราเป็นอย่างไร​ เพราะลมที่สูดเข้ามาและลมที่ปล่อยออกไปคือส่วนหนึ่งของร่างกาย​มันก็เป็นอากาศธาตุตามธรรมชาติที่เราต้องอาศัยเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกาย​ 
          ในภาษาบาลีเราใช้คำศัพท์ว่า​ อานาปานสติ​ คำว่า​ ปานะ ​คือ ลมเข้าลมออก​ เป็นสิ่งที่ให้ชีวิต​เช่น​เวลาเราสมาทานศีล​ปานาติปาตา ​หมายถึง สิ่งที่มีชีวิต​เราไม่ตัดชีวิตของใคร​ สิ่งที่ให้กำลังชีวิตกับเรา​เรียกว่า​ลมปราณ​มันให้พลัง​มันให้กำลัง​ แล้วให้เราสังเกตดูลมหายใจเข้า​ดูความรู้สึก​ดูว่ากำลังของชีวิตนี้​มันจะแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายได้อย่างไร​ ลมปราณทำให้เรามีกำลัง​มีพลัง​ทำให้ร่างกายมีชีวิต​หรือมีกำลัง พอที่จะนั่งให้เที่ยงตรงอย่างสมดุลสะดวกสบาย​
           เวลาเรานั่งนานๆ​ไป​ บางทีจะเกิดเหน็บชา​เมื่อหายใจเข้าออก​ให้เราลองตั้งใจที่จะให้ลมปราณซ่านไปทั่วร่างกาย​ ส่งไปถึงขาที่กำลังเหน็บชา​จะทำให้อาการเหน็บชาค่อยๆ​หายไป​ โดยปกติเราจะไม่ได้สังเกตอย่างใกล้ชิด​ บางทีถ้ามันเจ็บมันปวดที่ใดที่หนึ่ง​ เช่น ที่หลังของเรา​เราก็เอาลมหายใจเข้า​ลมหายใจออกเข้าไปสู่บริเวณที่เจ็บที่ปวด​ มันจะเหมือนกับเราให้พลัง​ให้กำลัง​ คือ กำลังลมที่ว่าเป็นเหมือน​“พลังชีวิต” ​ให้เราตั้งสติไว​้ ตั้งผู้รู้เอาไว​้ เดี๋ยวมันจะก็ค่อยๆ​เปลี่ยน​ความเจ็บความปวดก็จะหาย​มันเป็นไปได้นะ​มันไม่ใช่สิ่งที่เกินความสามารถของเราทุกคน​ แล้วก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดอะไร​ มันเป็นเรื่องธรรมดา​ แต่ลมหายใจเป็นสิ่งที่เรามักจะมองข้ามและไม่ได้ใส่ใจ​ 
          บางทีเราก็คิดแคบเกินไป ​เช่น​ คิดว่าเราจะต้องรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออก​ที่ปลายจมูก ​จุดนี้จุดเดียว​ไม่ให้มันกระดุกกระดิกเลย​ไม่ให้ความรู้สึกนี้หลุดไปไหน ​และต้องไม่ให้มีความคิดแทรกซ้อนเข้าไป​ นั่งกำหนดลมหายใจไป​ ลมหายใจเข้าก็เครียด​ ลมหายใจออกก็เครียด  ​มันก็เลยไม่สบาย​เราต้องรู้จักฝึกรู้จักหัด​ให้ความสนใจ และสังเกตว่า​เอ...ทำอย่างไรจึงจะพอด​ี ทำอย่างไรจึงจะให้ทั้งร่างกายและจิตใจได้ภาวนาได้ปฏิบัต​ิ เพราะร่างกายและจิตใจมันอิงอาศัยกัน​เป็นการสร้างความรู้ในเรื่องของตัวเอง​ฝึกให้มีความชำนาญ​ลมหายใจเข้าก็กำหนดรู้​ลมหายใจออกก็กำหนดรู้​ ทำความสมดุลให้เกิดขึ้น​ทำความพอดีให้เกิดขึ้น​ลมหายใจเข้าก็สบาย​ลมหายใจออกก็สบาย ​ มันเป็นสิ่งที่เราต้องสนใจฝึกหัดไว​้ 
          การภาวนาด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออกนั้น​ ในแง่หนึ่งก็เป็นการภาวนาโดยอาศัยสิ่งที่เรามีอยู่แล้วกับตัว​ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน​เราก็สามารถกำหนดได้​ ส่วนอีกแง่หนึ่ง ลมก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่เราจะไม่ต้องไปยึดหรือหลงว่าเป็นเรา หรือเป็นของๆเรา มันยากมากนะที่ใครจะคิดว่า​......​โอ.้.​ลมหายใจเข้าเป็นของเรา​ ลมหายใจออกก็เป็นของเรา....​ เพราะถ้ามันเป็นของเราแล้ว​ .....โอ.้.หายใจออกไปแล้ว ​เราจะเอามันกลับมาได้อย่างไร........ถ้าคิดเป็นเจ้่าของลม​มันจะยุ่ง​มันไม่น่าจะมีใครคิดอย่างนั้น​เพราะลมเป็นของธรรมชาติ​ 
          เช่นเดียวกัน​ เมื่อพูดถึงการฝึกให้เป็นผู้รู้​ ฝึกให้เป็นผู้ที่สงบ​ การเป็นผู้รู้ก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ​ความสงบก็เป็นของธรรมชาติ ​การเป็นผู้มีปัญญาก็เป็นของธรรมชาติ ธรรมดา​เราอาศัยสิ่งที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ​เพียงแต่ต้องทำให้มันเด่นขึ้น​ ต้องทำให้เรารู้เรื่องขึ้น​ ถ้าหากว่าเราไม่ได้รู้อย่างชัดเจน​เราก็ย่อมไม่ได้ประโยชน์ หากกลับเสียโอกาส​มันก็เพียงแต่จะผ่านไปๆ​โดยเราไม่สังเกต​ แต่ถ้าเราได้สังเกตตามดูผู้รู้โดยอาศัยของธรรมดาที่มีอยู่แล้ว​ ก็ย่อมจะเกิดประโยชน์แก่เราได​้ จะเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากสำหรับเรา​อาศัยของธรรมดาๆ​ลมหายใจเข้าก็รู้ ลมหายใจออกก็รู้ มันเป็นเรื่องง่ายๆ แต่มนุษย์เรามักจะทำสิ่งที่ง่ายให้มันยาก จึงสมควรต้องฝึกต้องหัด 
          ขอฝากเอาไว้เป็นข้อคิดในธรรมะำำหรับเช้าวันนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น