ต่อจากนี้ไปขอให้ญาติโยมตั้งใจฟังธรรมะเราได้มาร่วมกันเพื่อภาวนาฝึกจิตใจ ให้เกิดความสงบการที่จะเกิดความสงบได้นั้นพระพุทธเจ้าท่านมีวิธีการมากมาย แต่ว่าวิธีที่อาตมาจะสอนในวันนี้ซึ่งก็เป็นวิธีที่อาตมามักจะสอนเสมอ เพราะเป็นวิธีที่อาตมาชอบคือ อานาปานสติ การกำหนดรู้ที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ซึ่งก็น่าจะเป็นวิธีที่ครูบาอาจารย์ท่านใช้มากที่สุดแม้แต่พระพุทธเจ้าเองท่านก็อาศัยวิธีนี้เช่นกัน
ครั้งหนึ่งที่พระพุทธเจ้าได้ปลีกวิเวกเป็นเวลา ๓ เดือน โดยอยู่แต่ในกุฏิ ไม่พบใครและไม่ออกบิณฑบาตท่านได้ให้พระอานนท์นำอาหารมาถวายทุกวัน จำไม่ได้ว่าท่านอยู่อย่างนั้นนานเท่าไรกี่อาทิตย์...กี่เดือน พระอานนท์ได้ถามท่านในลักษณะว่า คนกำลังสงสัยว่าพระพุทธองค์กำลังทำอะไรอยู่องค์เดียวไม่ได้พบกับใคร พระพุทธเจ้าท่านให้พระอานนท์ตอบว่า พระตถาคตดูลมหายใจเข้าลมหายใจออก ขนาดพระพทุธเจ้าเองแม้ตรัสรู และหมดกิเลสแล้ว ท่านก็ยังภาวนาเพราะพระองค์ยังต้องอาศัยสังขารทั้งกายทั้งใจซึ่งล้วนมีความเสื่อมอยู่เป็นธรรมดา
การภาวนาเป็นการรักษาความสดชื่นของจิตใจซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นแม้สำหรับผู้ที่หมดจดคือ ปราศจากกิเลสอย่างหมดจดจริงๆแล้ว เช่นครั้งที่หลวงพ่อชากลับจากประเทศองักฤษครั้งแรกตอนนั้นท่านเริ่มมีชื่อเสียงและมีภาระหน้าที่มากรับแขกไม่หยุด เมื่อท่านมีเวลาที่จะพักส่วนตัวบ้างท่านก็บอกว่า โอ้.....ดีใจมันเงียบสงบดี...จะได้มีเวลานั่งสมาธิภาวนาให้จิตใจสดชื่น
มันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเราทุกคนที่ภาวนาเราภาวนาก็เพื่อทำจิตใจของเราให้สดชื่นปลอดโปร่งใสเพราะโดยปกติจิตของเรามักจะรกรุงรัง เพราะชอบเก็บขยะมาสุมไว้เหมือนกับห้องของเราที่บ้านเราก็ต้องหมั่นทำความสะอาด หากข้าวของมันเพิ่มมากขึ้นๆเป็นที่เกาะของพวกขี้ฝุ่น นี่มันก็เรื่องธรรมชาติจิตของเราก็เช่นเดียวกัน มันไม่ได้แตกต่างกันคือ เราจำเป็นที่จะต้องทำความสะอาดจิตใจต้องกวาดต้องถู แต่การกวาดการถูจิตใจแทนที่จะอาศัยไม้กวาด อาศัยผ้าเช็ด เราต้องอาศัยการกำหนดจิตกำหนดลมหายใจเข้ากำหนดลมหายใจออกตั้งสติไว้ที่ใดที่หนึ่ง
การกำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออกจะกำหนดที่ปลายจมูกก็ได้จะกำหนดที่หน้าท้องก็ได้หรือจะกำหนดที่ความรู้สึกบริเวณคอหรือหน้าอกก็ได้มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่เราต้องกำหนดที่ใดที่หนึ่งและรวมสติไว้ที่จุดนั้น โดยต้องพยายามที่จะให้สติเกิดขึ้น ณ จุดนั้นอย่างต่อเนื่อง เพราะว่าโดยปรกติแล้วเมื่อเริ่มกำหนดลมหายใจเข้ายังหายใจเข้าไม่ทันจะเสร็จจิตก็เริ่มลอยออกไปหาเรื่องอื่นแล้ว
ผู้มีสติในการฝึกจิตจะต้องพยายามยกผู้รู้ขึ้นมาสู่จิตใจของเราอย่างต่อเนื่อง จะท้อใจไม่ได้จะต้องร้วู่าจิตของปุถุชนธรรมดาย่อมมีการปรุงแต่งย่อมไม่นิ่ง เราจึงไม่ต้องตกใจเราไม่ได้มีหน้าที่ที่จะวิพากษ์วิจารณ์หรือคิดอะไรมากมายว่า ทำไมมันจึงเป็นอย่างนี้เรามีหน้าที่ในการยกผู้รู้เข้ามาสู่จิตใจของเราเพื่อให้มีสติต่อเนื่องลมหายใจเข้าก็กำหนดรู้ลมหายใจออกก็กำหนดรู้เรามีหน้าที่เพียงเท่านี้
เราอาศัยการกำหนดรู้หากมีการกำหนดรู้อย่างต่อเนื่องความรู้สึกปลอดโปร่ง ก็จะเกิดขึ้นจะมากหรือน้อยก็อยู่ที่ว่า เราสามารถที่จะทำสติต่อเนื่องมากน้อยแค่ไหน...เท่านี้แหละเราต้องมีความสนใจในการยกจิตเข้ามาสู่หน้าที่ของเราและหน้าที่ของเราในเวลานี้คือการกำาหนดรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ถ้าหากจิตเริ่มมีความคิดมีการคำนึงถึงอดีตหรือคำนึงถึงอนาคต หรือแม้จะวนๆอยู่ในปัจจุบัน เราก็เพียงแต่บอกตัวเองว่านี่ไม่ใช่หน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราคือ เราจะให้มีผู้รู้เด่นขึ้นมาในจิตใจเรามีหน้าที่ที่จะทำสติให้ต่อเนื่องนี่คือ หน้าที่ของเราเรากำลังฝึกหน้าที่นี้เราฝึก โดยยกจิตมาสู่กิจอันนี้เพื่อรักษาความสะอาดของจิตใจ เหมือนกับเราได้เช็ดได้ถูได้ปัดได้กวาดห้องของเรามันก็จะสะอาดสะอ้าน น่าอยู่...เป็นเรื่องธรรมชาติธรรมดา
เช่นที่หลวงพ่อชาท่านยกตัวอย่างว่า จิตของมนุษย์เรามันชอบคลุกคลีมันชอบพูดมันชอบคุยเหมือนกับเมื่อมีคนเข้ามาที่บ้านเราหรือเราอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง แล้วมีคนเข้ามาหาเราก็พูดคุยกับเขาเดี๋ยวคนนี้มาเดี๋ยวคนนั้นมาเราก็คุยไม่หยุดนะหรือ เช่น มีคนมาที่บ้านเราก็เชิญเข้ามาในบ้านมาๆเข้ามาๆเลี้ยงน้ำเอา....เดี๋ยวกินข้าวกันมาพูดมาคุยกันก็คุยไม่หยุดแล้วเขาก็ไม่ไปสักที แต่ถ้าหากว่าเราทำตัวเหมือนกับเราอยู่ที่บ้านหรืออยู่ในห้องๆหนึ่งซึ่งมีเก้าอี้เพียงตัวเดียวเราก็นั่งอยู่บนเก้าอี้นั้น แล้วก็ไม่ลุกขึ้นเมื่อมีคนเข้ามาเขาเข้ามาแต่เราก็ไม่ไปพูดไปคุยกับเขาเมื่อเขาเห็นว่า ไม่มีใครคุยด้วยไม่มีที่นั่งเดี๋ยวเขาก็ไปเองแหละ
เช่นเดียวกันกับการฝึกจิตใจเราต้องพยายามให้กำลังใจตัวเองด้วยอุบาย หรือโดยการจินตนาการว่าเรานั่งอยู่ในห้องว่างบนเก้าอี้ตัวเดียวนั้นแหละ ถึงจะมีอารมณ์มีความรู้สึกหรือมีการคิดนึกใดๆเกิดโพล่งขึ้นมาก็ให้เหมือนกับมีคนเข้ามา แต่เราก็ไม่คุยด้วยไม่คลุกคลีด้วยเดี๋ยวเขาก็กลับไปเองเราก็เป็นแค่ผู้รู้รักษาผู้รู้รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นแต่เราไม่ใส่ใจไม่ให้ความสนใจ ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในจิตใจไม่ใช่ว่าไม่มี การเคลื่อนไหวในจิตใจไม่ใช่ว่าไม่มีความรู้สึกใดๆเกิดขึ้น แต่ว่าเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว เราไม่เลี้ยงมันไว้ด้วยการปรุงแต่ง ไม่ให้อาหารมัน ความคิดหรือความรู้สึกนั้นก็จะสลายออกไปจากจิตใจเราเองมันจะอยู่ไม่ได้
เราจะสังเกตว่าที่วัดหนองป่าพง และวัดสาขาจะไม่มีหมาไม่มีแมวอยู่ หลวงพ่อชาท่านเคยพูดว่าอย่าไปเลี้ยงมัน ถ้าเลี้ยงมันๆก็จะมา มาแล้วมันก็แพร่พันธุ์แพร่พันธุ์ แล้วมันก็ยุ่งแหละการอยู่ในวัดที่ไม่มีหมาไม่มีแมวมันก็สงบดีมีหมาในวัดมันดีอยู่อย่างเดียว เวลาตีระฆังปลุกตอนตี ๓ เสียงระฆังโป๊ง! หมาก็จะเห่าขึ้นมาทันทีแล้ว ใครจะหลับต่อได้ล่ะ พระเลยต้องลุกขึ้นมาทำวัตรตอนเช้า ที่หลวงพ่อชาท่านไม่ให้มีหมามีแมวนั้นก็เพื่อความสงบพระจึงไม่ได้เลี้ยงมันไว้
เช่นเดียวกัน เมื่อความคิดเกิดขึ้นในจิตใจ หากเราไปเลี้ยงมันไว้ด้วยความชอบใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้าง สนใจว่ามันจะต้องคิดเรื่องนี้สนใจในเรื่องอดีตอารมณ์บ้าง หรือสนใจวิพากษ์วิจารณ์ถึงอนาคตบ้างความสนใจนั้นเป็นการเอาใจใส่มันเหมือนกับเราให้ อาหารมันมันเป็นอาหารของอารมณ์ให้ความสนใจเมื่อไรให้ความพอใจ หรือความไมพ่อใจก็ล้วนเป็นอาหารของมัน เท่ากับว่าเลี้ยงมันไว้ เมื่อเลี้ยงมันไว้มันก็จะแพร่พันธุ์ จนพะรุงพะรังเต็มจิตใจของเรา
การไม่เลี้ยงมันไว้ทำได้ด้วยการตั้งสติไว้ที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ตั้งผู้รู้ให้ต่อเนื่องลมหายใจเข้าก็กำหนดรู้ลมหายใจออกก็กำหนดรู้ คือ แทนที่จะเลี้ยงความพะรุงพะรังของจิตใจเราก็พยายามเลี้ยงไว้ซึ่งความปลอดโปร่งใสสะอาด ซึ่งเป็นสิ่งที่สมควรมีไว้ในจิตใจของเราและเมื่อจิตใจของเรามีความปลอดโปร่งเช่นนั้น หากมีความรู้สึกเกิดขึ้นหรือมีความคิดนึกเกิดขึ้นเราก็จะเห็นมันได้ชัดเจน
เหมือนกับเรามีกระดานขาวเราจะเขียนโน้ตเอาไว้ให้ตัวเองก็ดีหรือให้ผู้อื่นก็ดี มันก็อ่านได้ง่ายเมื่อใช้แล้วเช็ดให้สะอาดเขียนใหม่อีกครั้งมันก็ยังชัดเจนเห็นได้ง่าย เราก็รู้เรื่องแต่ถ้าหากว่าเขียนแล้วเขียนอีกเขียนแล้วเขียนอีกโดยไม่เช็ดทำความสะอาด มันก็จะสับสนซ้ำซ้อนเขียนทับๆกันแล้ว มันก็ไม่ชัดเจนไม่รู้ว่าเขียนอะไรไว้เพราะว่ามันมากเหลือเกิน เช่นเดียวกันกับจิตใจของเราเช่นเดียวกันกับเวลาเรามีความคิดนึก มีอารมณ์ มีความรู้สึกนานาประการ มันก็ยากที่จะแยกออกว่า... อะไรเป็นประโยชน์อะไรไม่เป็นประโยชน์
เราจะรักษาสิ่งที่ดีได้อย่างไร การทำให้จิตใจสงบทำให้จิตใจมีสติต่อเนื่อง เป็นการรักษาความสะอาดที่มีคุณค่ามาก มิฉะนั้นมันก็ยากที่จะเกิดความเข้าใจในตัวเองว่า เราจะทำอย่างไรดีนักปฏิบัติเราจึงควรตั้งอกตั้งใจในการรักษาสติให้ต่อเนื่อง และต้องเข้าใจว่าที่เราปฏิบัติเพื่อให้มีสติต่อเนื่องนั้นต้องอาศัยทั้งกายทั้งใจ เช่นเวลาเรานั่งสมาธิจะนั่งพับเพียบก็ได้นั่งขัดสมาธิก็ได้ หรือนั่งเก้าอี้ก็ได้ที่สำคัญคือร่างกายของเราควรจะนั่งให้เที่ยงตรง
การนั่งขัดสมาธินั้นบางคนสามารถที่จะนั่งขัดสมาธิเพชรได้เพราะว่าคุ้น สมัยก่อนคนไทยเราเกิดมาก็อยู่กับพื้นกันมาตั้งแต่เล็กๆ นั่งกินข้าวก็อาจจะท่านี้แหละแต่เดี๋ยวนี้คนไทยกลายเป็นฝรั่งไปแล้วพากันนั่งเก้าอี้นั่งโซฟาการนั่งกับพื้น
(มีต่อ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น