วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ยกจิตสู่กิจ

          ต่อจากนี้ไปขอให้ญาติโยมตั้งใจฟังธรรมะ​เราได้มาร่วมกันเพื่อภาวนา​ฝึกจิตใจ ให้เกิดความสงบ​การที่จะเกิดความสงบได้นั้น​พระพุทธเจ้าท่านมีวิธีการมากมาย​ แต่ว่าวิธีที่อาตมาจะสอนในวันนี้ซึ่งก็เป็นวิธีที่อาตมามักจะสอนเสมอ​ เพราะเป็นวิธีที่อาตมาชอบ​คือ​ อานาปานสติ​ การกำหนดรู้ที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก​ ซึ่งก็น่าจะเป็นวิธีที่ครูบาอาจารย์ท่านใช้มากที่สุด​แม้แต่พระพุทธเจ้าเองท่านก็อาศัยวิธีนี้เช่นกัน​ 
        ครั้งหนึ่งที่พระพุทธเจ้าได้ปลีกวิเวกเป็นเวลา ๓ เดือน โดยอยู่แต่ในกุฏิ ไม่พบใครและไม่ออกบิณฑบาต​ท่านได้ให้พระอานนท์นำอาหารมาถวายทุกวัน​ จำไม่ได้ว่าท่านอยู่อย่างนั้นนานเท่าไร​กี่อาทิตย์...กี่เดือน​ พระอานนท์ได้ถามท่านในลักษณะว่า ​คนกำลังสงสัยว่าพระพุทธองค์กำลังทำอะไรอยู่องค์เดียว​ไม่ได้พบกับใคร​ พระพุทธเจ้าท่านให้พระอานนท์ตอบว่า ​พระตถาคตดูลมหายใจเข้า​ลมหายใจออก​ ขนาดพระพทุธเจ้าเองแม้ตรัสรู และหมดกิเลสแล้ว​ ท่านก็ยังภาวนา​เพราะพระองค์ยังต้องอาศัยสังขารทั้งกายทั้งใจ​ซึ่งล้วนมีความเสื่อมอยู่เป็นธรรมดา​ 
          การภาวนาเป็นการรักษาความสดชื่นของจิตใจ​ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นแม้สำหรับผู้ที่หมดจด​คือ ปราศจากกิเลสอย่างหมดจดจริงๆ​แล้ว​ เช่นครั้งที่หลวงพ่อชากลับจากประเทศองักฤษครั้งแรก​ตอนนั้นท่านเริ่มมีชื่อเสียงและมีภาระหน้าที่มากรับแขกไม่หยุด​ เมื่อท่านมีเวลาที่จะพักส่วนตัวบ้าง​ท่านก็บอกว่า​ โอ้.....ดีใจ​มันเงียบสงบดี...จะได้มีเวลานั่งสมาธิภาวนาให้จิตใจสดชื่น
          มันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเราทุกคนที่ภาวนา​เราภาวนาก็เพื่อทำจิตใจของเราให้สดชื่น​ปลอดโปร่ง​ใส​เพราะโดยปกติจิตของเรามักจะรกรุงรัง​ เพราะชอบเก็บขยะมาสุมไว​้เหมือนกับห้องของเราที่บ้าน​เราก็ต้องหมั่นทำความสะอาด​ หากข้าวของมันเพิ่มมากขึ้นๆ​เป็นที่เกาะของพวกขี้ฝุ่น​ นี่มันก็เรื่องธรรมชาต​ิจิตของเราก็เช่นเดียวกัน​ มันไม่ได้แตกต่างกัน​คือ เราจำเป็นที่จะต้องทำความสะอาดจิตใจ​ต้องกวาดต้องถู​ แต่การกวาดการถูจิตใจ​แทนที่จะอาศัยไม้กวาด​ อาศัยผ้าเช็ด​ เราต้องอาศัยการกำหนดจิต​กำหนดลมหายใจเข้า​กำหนดลมหายใจออก​ตั้งสติไว้ที่ใดที่หนึ่ง​ 
          การกำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออก​จะกำหนดที่ปลายจมูกก็ได​้จะกำหนดที่หน้าท้องก็ได้​หรือจะกำหนดที่ความรู้สึกบริเวณคอหรือหน้าอกก็ได้​มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ​ แต่เราต้องกำหนดที่ใดที่หนึ่งและรวมสติไว้ที่จุดนั้น​ โดยต้องพยายามที่จะให้สติเกิดขึ้น​ ณ​ จุดนั้นอย่างต่อเนื่อง ​เพราะว่าโดยปรกติแล้ว​เมื่อเริ่มกำหนดลมหายใจเข้า​ยังหายใจเข้าไม่ทันจะเสร็จ​จิตก็เริ่มลอยออกไปหาเรื่องอื่นแล้ว​ 
          ผู้มีสติในการฝึกจิตจะต้องพยายามยกผู้รู้ขึ้นมาสู่จิตใจของเราอย่างต่อเนื่อง​ จะท้อใจไม่ได้​จะต้องร้วู่าจิตของปุถุชนธรรมดาย่อมมีการปรุงแต่ง​ย่อมไม่นิ่ง เราจึงไม่ต้องตกใจ​เราไม่ได้มีหน้าที่ที่จะวิพากษ์วิจารณ์หรือคิดอะไรมากมายว่า ​ทำไมมันจึงเป็นอย่างนี้​เรามีหน้าที่ในการยกผู้รู้เข้ามาสู่จิตใจของเราเพื่อให้มีสติต่อเนื่อง​ลมหายใจเข้าก็กำหนดรู้​ลมหายใจออกก็กำหนดรู้​เรามีหน้าที่เพียงเท่านี​้ 
          เราอาศัยการกำหนดรู้​หากมีการกำหนดรู้อย่างต่อเนื่อง​ความรู้สึกปลอดโปร่ง ก็จะเกิดขึ้นจะมากหรือน้อยก็อยู่ที่ว่า เราสามารถที่จะทำสติต่อเนื่องมากน้อยแค่ไหน...เท่านี้แหละ​เราต้องมีความสนใจในการยกจิตเข้ามาสู่หน้าที่ของเรา​และหน้าที่ของเราในเวลานี้คือการกำาหนดรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออก​           ถ้าหากจิตเริ่มมีความคิด​มีการคำนึงถึงอดีต​หรือคำนึงถึงอนาคต​ หรือแม้จะวนๆ​อยู่ในปัจจุบัน​ เราก็เพียงแต่บอกตัวเองว่า​นี่ไม่ใช่หน้าที่ของเรา ​หน้าที่ของเราคือ เราจะให้มีผู้รู้เด่นขึ้นมาในจิตใจ​เรามีหน้าที่ที่จะทำสติให้ต่อเนื่อง​นี่คือ หน้าที่ของเรา​เรากำลังฝึกหน้าที่นี้​เราฝึก โดยยกจิตมาสู่กิจอันนี้​เพื่อรักษาความสะอาดของจิตใจ ​เหมือนกับเราได้เช็ดได้ถูได้ปัดได้กวาดห้องของเรา​มันก็จะสะอาดสะอ้าน น่าอยู่...เป็นเรื่องธรรมชาติธรรมดา​ 
        เช่นที่หลวงพ่อชาท่านยกตัวอย่างว่า​ จิตของมนุษย์เรามันชอบคลุกคล​ีมันชอบพูด​มันชอบคุย​เหมือนกับเมื่อมีคนเข้ามาที่บ้านเรา​หรือเราอย​ู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง​ แล้วมีคนเข้ามาหา​เราก็พูดคุยกับเขา​เดี๋ยวคนนี้มา​เดี๋ยวคนนั้นมา​เราก็คุยไม่หยุดนะ​หรือ เช่น มีคนมาที่บ้าน​เราก็เชิญเข้ามาในบ้าน​มาๆ​เข้ามาๆ​เลี้ยงน้ำเอา....​เดี๋ยวกินข้าวกัน​มาพูดมาคุยกัน​ก็คุยไม่หยุด​แล้วเขาก็ไม่ไปสักที ​แต่ถ้าหากว่าเราทำตัวเหมือนกับเราอยู่ที่บ้านหรืออยู่ในห้องๆ​หนึ่งซึ่งมีเก้าอี้เพียงตัวเดียว​เราก็นั่งอยู่บนเก้าอี้นั้น​ แล้วก็ไม่ลุกขึ้นเมื่อมีคนเข้ามา​เขาเข้ามา​แต่เราก็ไม่ไปพูดไปคุยกับเขา​เมื่อเขาเห็นว่า ไม่มีใครคุยด้วย​ไม่มีที่นั่ง​เดี๋ยวเขาก็ไปเองแหละ​ 
          เช่นเดียวกันกับการฝึกจิตใจ​เราต้องพยายามให้กำลังใจตัวเองด้วยอุบาย หรือโดยการจินตนาการว่า​เรานั่งอยู่ในห้องว่างบนเก้าอี้ตัวเดียวนั้นแหละ​ ถึงจะมีอารมณ์มีความรู้สึก​หรือมีการคิดนึกใดๆ​เกิดโพล่งขึ้นมา​ก็ให้เหมือนกับมีคนเข้ามา​ แต่เราก็ไม่คุยด้วย​ไม่คลุกคลีด้วย​เดี๋ยวเขาก็กลับไปเอง​เราก็เป็นแค่ผู้รู้​รักษาผู้รู้​รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น​แต่เราไม่ใส่ใจ​ไม่ให้ความสนใจ ​ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในจิตใจ​ไม่ใช่ว่าไม่มี การเคลื่อนไหวในจิตใจไม่ใช่ว่าไม่มีความรู้สึกใดๆ​เกิดขึ้น แต่ว่าเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว​ เราไม่เลี้ยงมันไว้ด้วยการปรุงแต่ง​ ไม่ให้อาหารมัน​ ความคิดหรือความรู้สึกนั้นก็จะสลายออกไปจากจิตใจเราเอง​มันจะอยู่ไม่ได้​ 
          เราจะสังเกตว่าที่วัดหนองป่าพง และวัดสาขาจะไม่มีหมาไม่มีแมวอยู่  หลวงพ่อชาท่านเคยพูดว่า​อย่าไปเลี้ยงมัน ​ถ้าเลี้ยงมันๆ​ก็จะมา​ มาแล้วมันก็แพร่พันธ​ุ์แพร่พันธุ์ แล้วมันก็ยุ่งแหละ​การอยู่ในวัดที่ไม่มีหมาไม่มีแมว​มันก็สงบดี​มีหมาในวัดมันดีอยู่อย่างเดียว ​เวลาตีระฆังปลุกตอนตี​ ๓ ​เสียงระฆัง​โป๊ง​! ​หมาก็จะเห่าขึ้นมาทันที​แล้ว ใครจะหลับต่อได้ล่ะ​ พระเลยต้องลุกขึ้นมาทำวัตรตอนเช้า​ ที่หลวงพ่อชาท่านไม่ให้มีหมามีแมวนั้น​ก็เพื่อความสงบ​พระจึงไม่ได้เลี้ยงมันไว้​ 
          เช่นเดียวกัน เมื่อความคิดเกิดขึ้นในจิตใจ หากเราไปเลี้ยงมันไว้ด้วยความชอบใจบ้าง​ ไม่ชอบใจบ้าง ​สนใจว่ามันจะต้องคิดเรื่องน​ี้สนใจในเรื่องอดีตอารมณ์บ้าง​ หรือสนใจวิพากษ์วิจารณ์ถึงอนาคตบ้าง​ความสนใจนั้นเป็นการเอาใจใส่มัน​เหมือนกับเราให้ อาหารมัน​มันเป็นอาหารของอารมณ์​ให้ความสนใจเมื่อไร​ให้ความพอใจ หรือความไมพ่อใจ​ก็ล้วนเป็นอาหารของมัน เท่ากับว่าเลี้ยงมันไว้ เมื่อเลี้ยงมันไว้มันก็จะแพร่พันธุ์ จนพะรุงพะรังเต็มจิตใจของเรา​ 
          การไม่เลี้ยงมันไว้​ทำได้ด้วยการตั้งสติไว้ที่ลมหายใจเข้า​ลมหายใจออก ​ตั้งผู้รู้ให้ต่อเนื่อง​ลมหายใจเข้าก็กำหนดรู้​ลมหายใจออกก็กำหนดรู้​ คือ แทนที่จะเลี้ยงความพะรุงพะรังของจิตใจ​เราก็พยายามเลี้ยงไว้ซึ่งความปลอดโปร่ง​ใสสะอาด​ ซึ่งเป็นสิ่งที่สมควรมีไว้ในจิตใจของเรา​และเมื่อจิตใจของเรามีความปลอดโปร่งเช่นนั้น​ หากมีความรู้สึกเกิดขึ้น​หรือมีความคิดนึกเกิดขึ้น​เราก็จะเห็นมันได้ชัดเจน​    
          เหมือนกับเรามีกระดานขาว​เราจะเขียนโน้ตเอาไว้ให้ตัวเองก็ดีหรือให้ผู้อื่นก็ดี​ มันก็อ่านได้ง่าย​เมื่อใช้แล้วเช็ดให้สะอาด​เขียนใหม่อีกครั้งมันก็ยังชัดเจน​เห็นได้ง่าย​ เราก็รู้เรื่อง​แต่ถ้าหากว่าเขียนแล้วเขียนอีก​เขียนแล้วเขียนอีก​โดยไม่เช็ดทำความสะอาด​ มันก็จะสับสน​ซ้ำซ้อน​เขียนทับๆ​กันแล้ว มันก็ไม่ชัดเจน​ไม่รู้ว่าเขียนอะไรไว้​เพราะว่ามันมากเหลือเกิน ​เช่นเดียวกันกับจิตใจของเรา​เช่นเดียวกันกับเวลาเรามีความคิดนึก​ มีอารมณ​์ มีความรู้สึกนานาประการ​ มันก็ยากที่จะแยกออกว่า... อะไรเป็นประโยชน์​อะไรไม่เป็นประโยชน์​ 
          เราจะรักษาสิ่งที่ดีได้อย่างไร​   การทำให้จิตใจสงบ​ทำให้จิตใจมีสติต่อเนื่อง​ เป็นการรักษาความสะอาดที่มีคุณค่ามาก ​มิฉะนั้นมันก็ยากที่จะเกิดความเข้าใจในตัวเองว่า เราจะทำอย่างไรดี​นักปฏิบัติเราจึงควรตั้งอกตั้งใจในการรักษาสติให้ต่อเนื่อง​ และต้องเข้าใจว่าที่เราปฏิบัติเพื่อให้มีสติต่อเนื่องนั้นต้องอาศัยทั้งกายทั้งใจ ​เช่น​เวลาเรานั่งสมาธ​ิจะนั่งพับเพียบก็ได​้นั่งขัดสมาธิก็ได​้ หรือนั่งเก้าอี้ก็ได้​ที่สำคัญคือร่างกายของเราควรจะนั่งให้เที่ยงตรง​ 
          การนั่งขัดสมาธินั้น​บางคนสามารถที่จะนั่งขัดสมาธิเพชรได้​เพราะว่าคุ้น​  สมัยก่อนคนไทยเราเกิดมาก็อยู่กับพื้นกันมาตั้งแต่เล็กๆ​ นั่งกินข้าวก็อาจจะท่านี้แหละ​แต่เดี๋ยวนี้คนไทยกลายเป็นฝรั่งไปแล้ว​พากันนั่งเก้าอี้นั่งโซฟา​การนั่งกับพื้น

(มีต่อ)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น