เมื่อเช้าพวกเราได้สวดมนต์บทเขมาเขมสรณทีปิกคาถาเกี่ยวกับสรณะ หรือที่พึ่งสรณะที่ถูกต้องสรณะที่ไม่ถูกต้องเขมาแปลว่า มั่นคงเขมาเขมสรณะ ก็คือสรณะที่มั่นคงผู้ใดถือเอาพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นสรณะแล้วเห็นอริยสัจ คือความจริงอันประเสริฐ๔ ด้วยปัญญาอันชอบ คือ เห็นความทุกข์เหตุให้เกิดทุกข์ความก้าวล่วงทุกข์เสียได้และหนทางมีองค์ ๘ อันประเสริฐ เครื่องถึงความระงับทุกข์นั้นแหละ เป็นสรณะอันเกษมนั้น เป็นสรณะอันสูงสุดเขาอาศัยสรณะนั้นแล้วย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้อาตมาว่าเป็นเรื่องที่น่าคิดน่าพิจารณาว่า ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธเราได้อิงอาศัยอะไรเป็นสรณะเป็นที่พึ่งเพื่อจะได้มีความมั่นคง
บางทีคิดๆ แล้วก็น่าอับอายขายหน้าจริงๆลองคิดดูว่าเมื่อมีอะไรที่ไม่ถูกใจเกิดขึ้นเราเอาอะไรเป็นที่พึ่งเราก็มักเอาอารมณ์นี่แหละเป็นที่พึ่ง ไม่พอใจก็ไปว่าเขาด้วยวาจาหรือว่าเขาอยู่ในใจอย่างนี้ก็ไม่น่าจะเป็นสรณะอันเกษมหรือ เช่น เมื่อเวลาเรากลับถึงบ้านไม่มีใครอยู่บ้านไม่รู้จะคุยกับใครยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรลองคิดดูว่า เรามักจะเอาอะไรเป็นที่พึ่งก็เอาตู้เย็นบ้างโทรทัศน์บ้างคอมพิวเตอร์บ้างเป็นที่พึ่ง เป็นสรณะ คือเราจะเอาอะไรต่ออะไรที่พอจะฆ่าเวลาหรือพอจะแก้ความเหงาได้บ้าง เป็นสรณะมันก็พอได้แต่มันไม่ได้เป็นสรณะอันเกษมไม่ได้เป็นสรณะที่น่าปรารถนา คือเราไม่ได้เอาการดับทุกข์เป็นสรณะ
การฝึกอบรมตนเองก็เพื่อจะได้มีที่พึ่งที่จะดับทุกข์ได้พระพุทธเจ้าทรงให้เราถืออริยสัจ๔ เป็นสรณะของเรา โดยให้ยกขึ้นมาพิจารณายกขึ้นมาสังเกตยกขึ้นมา เพื่อทบทวนสิ่งที่ได้เกิดขึ้นพระพุทธองค์เปรียบเทียบโดยยกบ้านหลังใหญ่เป็นตัวอย่าง บ้านที่มั่นคงบ้านหลังใหญ่สูงสองชั้นสามชั้นมีห้องหลายห้องมีประตูมีหน้าต่างการสร้างบ้านหลังนี้ต้องทำพื้นฐานให้ดี ถ้าหากใครจะคิดว่าไม่ต้องมีการลงฐานลงรากของบ้านมันก็เป็นไปไม่ได้ มันทำไม่ได้จะสร้างอย่างไรก็ไม่สำเร็จผล เช่นเดียวกันพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าใครคิดว่าจะสามารถดับทุกข์ได ้หรือจะอยู่อย่างผู้ปราศจากทุกข์ได้โดยไม่นำอริยสัจ๔ มาพจิารณาและนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เราจำเป็นต้องอาศัยอริยสัจ๔ เป็นฐานในการดำเนินชีวิตและใช้ในการฝึกหัดตนเองเพื่อออกจากทุกข์ให้ได้ เพื่อจะได้อยู่อย่างคนที่มีที่พึ่ง มีสรณะ ในตนเอง
พระผู้ใหญ่สายทิเบตองตค์หนึ่งซึ่งตอนนี้ท่านสิ้นไปแล้ว ท่านเป็นพระที่มีลูกศิษย์มากเป็นอาจารย์ที่เก่งมากในเรื่องกรรมฐาน และเป็นอาจารย์สอนกรรมฐานให้องค์ดาไลลามะ ความเก่งของท่านเป็นที่ยอมรับ ครั้งแรกที่ท่านเดินทางไปสหรัฐอเมริกาท่านไปเยี่ยมสำนักที่อยู่ใกล้ๆ วัดอภัยคีรี อาตมาได้พาลูกวัดไปกราบท่าน ท่านก็ดีใจที่ได้พบนักบวชด้วยกัน ในวันนั้นคนมากราบคารวะท่านมากแล้วท่านได้ให้โอวาทอาตมาจำได้ว่า ท่านพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าถ้าหากว่าเราได้ปฏิบัติในพุทธศาสนาเราได้ไปฟัง ธรรมะจากสำนักต่างๆในที่ต่างๆ หรือจากอาจารย์ต่างๆ ไม่ว่าจะอยู่ในสายไหนลัทธิไหนก็ตามแต่ ถ้าหากท่านสอนนอกอริยัส๔ ก็เป็นอันรู้ได้ว่านั้นไม่ใช่พุทธศาสนา หลักมีอยู่เพียงแค่นี้แหละ ขนาดท่านเป็นพระทิเบตซึ่งมีอุบายและวิธีการต่างๆในการปฏิบัติ ตลอดจนพิธีกรรมหรือพิธีรีตรองต่างๆมากมายเหลือกเกิน แต่โดยที่ท่านเป็นพระสายปฏิบัติ ท่านก็รู้ว่าเพียงอริยสัจ๔ เท่านี้แหละ เป็นสิ่งที่เราจะตัดสินได้ว่าเรากำลังฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ใช่หรือไม่ ธรรมะของพระพุทธเจ้าต้องมีอริยสัจ๔ ประกอบและในการปฏิบัติพวกเราจะต้องยกอริยสัจ๔ ขึ้นมาพิจารณา
อริยสัจข้อที่หนึ่ง คือ ทุกข์ซึ่งบางครั้งก็เป็นเหตุให้คนตั้งข้อสงสัยหรือแสดงความไม่พอใจว่าทำไมพุทธศาสนาสอนแต่เรื่องทุกข์น่าเบื่อเหลือเกิน เหมือนพุทธศาสนามองโลกในแง่ร้ายทำไมจึงเป็นอย่างนี้แต่ที่พระพุทธเจ้าสอนเรื่องทุกข์ท่านไม่ได้สอนอริยสัจ๑ คือ สอนว่า อริยสัจคือทุกข์ แล้วก็จบถ้าเป็นเช่นนั้นก็อาจจะไม่น่าเชื่อถือ และน่าลังเลสงสัยหากท่านสอนอริยสัจ๔ ได้แก่ อริยสัจคือทุกข์ อริยสัจคือเหตุ ให้เกิดทุกข์ อริยสัจคือการดับทุกข์ และอริยสัจคือหนทางที่จะดับทุกข์ คำสอนของพระพุทธเจ้าจึงสมบูรณ์ การที่ยกอริยสัจ คือทุกข์ขึ้นมานั้น เพราะพระพุทธองค์ทรงเมตตากรุณามากอยากให้เราได้พ้นจากความทุกข์เปรียบเสมือนหมอเวลาเราไปหาหมอหมอ ก็ต้องถามเราว่าเราเจ็บตรงไหนเราจะเกิดความไม่พอใจไหมเอ้...ทำไมหมอคนนี้มองเราในแง่ลบ หมอจำเป็นต้องรู้ว่าคนไข้เจ็บตรงไหนจึงจะหาวิธีรักษาได้แต่ถ้าคนเป็นโรคแล้วไม่รู้ว่าตัวเองเจ็บตรงไหนปวดตรงไหน อย่างนี้ก็แก้ยากบางทีหมอก็ไม่รู้จะช่วย อย่างไร ถ้าคนไข้ไม่รู้หมอถามแต่คนกำลังเป็นโรค กลับตอบเหมือนกับปฏิเสธว่าไม่มีโรคหมอก็ย่อมจะช่วยไม่ได ้เหมือนมีคนชอบมาถามอาตมาว่า เขาจะปฏิบัติตามพุทธศาสนาทำไมในเมื่อเขาไม่เห็นจะมีความทุกข์เลยแล้วเราจะตอบเขาอย่างไร เราจะช่วยเขาได้อย่างไรอาตมาเพิ่งสอนที่ยุวพุทธฯ มีคนเขียนคำถามอย่างนี้ อาตมาก็ตอบเขาว่า ช่วยไม่ได้หรอกพูดกันไม่รู้เรื่อง
เมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนอริยสัจ ๔ ท่านสอนด้วยว่า เรามีกิจหรือมีหน้าที่ที่ต้องทำต่ออริยสัจเหล่านั้นอย่างไร อริยสัจคือทุกข์ หน้าที่ของเราต่อทุกข์ คือเราต้องกำาหนดรู้ เราต้องรู้ให้แจ้งว่าทุกข์ที่ปรากฏคืออะไร มีลักษณะอย่างไร แสดงออกอย่างไร เราต้องให้ความสนใจสังเกตดูอย่างใกล้ชิดเพื่อจะสามารถเข้าใจว่าเหตุที่ก่อให้เกิดทุกข์นั้นๆ คืออะไร ตราบใดที่เรายังไม่เข้าใจในเหตุ ยังไม่ได้กำาหนดรู้จนชัดเจน ก็เหมือนกับเราไปหาหมอแล้วบอกไม่ได้ว่ามีอาการอย่างไร
อริยสัจข้อที่สองคือ เหตุให้เกิดทุกข์ เรามีหน้าที่ที่จะละเราต้องละเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์สัญชาตญาณของมนุษย์เราโดยปกติเมื่อมีความทุกข์ก็อยากจะละความทุกข์ อยากจะพ้นจากความทุกข์อยากจะหนีออกจากความทุกข์อยากจะทำาลายความทุกข์ แต่พระพุทธเจ้าสอนให้เรากำหนดรู้ไว้ก่อนสร้างความเข้าใจไว้ก่อนเพื่อจะได้เข้าใจใน เหตุเหตุนั้นแหละคือสิ่งที่เราจะต้องละเสียส่วนเรื่องความทุกข์เราต้องให้ความสนใจ
คำศัพท์ภาษาบาลีว่า ปหาน คือ การละหรือกำจัด เป็นคำศัพท์เดียวกับที่ภาษาไทยเอามาใช้ประหารซึ่งค่อนข้างจะรุนแรง มันจะประหารจะตัดให้ได้จะฆ่ามันทิ้งเสีย จะทำลายเหตุเหตุให้ได้ คำศัพท์ก็บ่งชัดอยู่ แต่ว่ามันเป็นหน้าที่ที่ถูกต้องที่เราจะต้องทำต่อ อริยสัจคือ เหตใุห้เกิดทุกข์ เพราะถ้าเรามุ่งแต่จะวิ่งละความทุกข์แต่ยังอุ้มเหตุเอาไว้ มันก็จะยังมีปัญหาอยู่ เหมือนกับเราทำสวยปลูกนี่ปลูกนั่นไว้ แล้วมีวัชพืชขึ้นมารบกวนแทนที่จะกำจัดวัชพืชโดยการถอนราก เรากลับเอากรรไกรมาตัดแค่ใบทิ้งแล้วก็บ่นว่าทำไมวัชพืชมันไม่ตายเสียที นี่แหละมันก็เหมือนกับเรามีความทุกข์อยู่ เพราะยังเก็บเหตุเอาไว้แล้วชอบบ่นว่าทำไมมีความทุกข์สงสารตัวเองกลุ้มใจ ชีวิตไม่น่าเป็นอย่างนี้เลย เรื่องของเรื่องก็เพราะเรายังอุ้มเหตุเอาไว้แหละแล้วจะโทษใครได้มันเป็นเรื่องของเจ้าของเราจึงต้องสร้างความเข้าใจว่าเหตุที่แท้จริงคืออะไร
พระพุทธเจ้าให้เราพิจารณาที่ตัณหา ๓ ประการ ตัณหาคือความอยากได้ ได้แก่ หนึ่งกามตัณหาความอยากได้ในกามความอยากได้ในความเพลิดเพลินยินดีกับรูปเสียงกลิ่นรส โผฐฐัพพะธรรมารมณ์ คือจิตมันวิ่งออกไปสู่ภายนอกสอง ภวตัณหา ความอยากได้อยากมีอยากเป็น เช่น อยากได้รับคำสรรเสริญอยากได้รับการยอมรับ อยากให้สำเร็จ อยากได้อย่างนี้อยากได้อย่างนั้น เป็นเรื่องของความรู้สึกต่อตัวตน เป็นการเพิ่มระดับตัวตนของเรา สามวิภวตัณหาความไม่อยากมีไม่อยากเป็น เป็นในลักษณะไม่อยากให้ตัวเองเป็นอย่างนี้ ไม่อยากให้โลกเป็นอย่างนี้ ไม่อยากประสบสิ่งที่ไม่ถูกใจ จะเกลียดสิ่งที่ไม่ชอบใจที่เกิดขึ้น อย่างนี้เป็นกระแสของวิภวตัณหา คือ มันจะผลักออกเป็นความไม่พอดีของจิตใจ เดี๋ยวทรุดลงทางนี้เดี๋ยวทรุดลงทางโน้น
ความพอดีจะอยู่ที่การละตัณหาละความอยากได้ เมื่อละความอยากเสียแล้ว เราจะเหลืออะไรไหมมันจะไม่ทำให้เรากลายเป็นคนงอมืองอเท้า หรือมันไม่เป็นเช่นนั้นหรอก เพราะตัณหามันเป็นศัพท์เฉพาะตัณหา คือ ความอยากได้ก็จริงแต่เงื่อนไขของคำศัพท์ว่า ตัณหา คือ เป็นความอยากได้ที่มีความโลภความโกรธความหลงมีกิเลสประกอบด้วย เมื่อมีกิเลสซึ่งเป็นครื่องเศร้าหมองประกอบ มันก็ต้องเกิดความ ทุกข์ได้
ส่วนความอยากที่ดีงามน่าพอใจน่าปรารถนา พระพุทธเจ้าท่านใช้คำศัพท์อีกคำหนึ่ง คือ คำว่าฉันทะ เป็นคำศัพท์ที่บางทีใช้ไปในทางไม่ดี เช่น กามฉันทะความพอใจในกาม ซึ่งป็นนิวรณ์ข้อแรกแต่เมื่อใช้ไปในทางบวกหรือทางดี จะใช้คำศัพท เดี่ยวๆว่า ฉันทะอยู่ในหมวดธรรมอิทธิบาท๔ อันเป็นพื้นฐานหรือรากฐานของความสำเร็จ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา คนเราต้องมีฉันทะความพอใจต้องมีความ อยากได้ เพราะถ้าไม่มีความพอใจไม่มีความอยากได้ก็จะทาำอะไรไม่สาำเร็จ แต่ต้องออกไปในทางดีเป็นประโยชน์อย่างที่ใช้กัน เช่น กุศลฉันทะพอใจในกุศลธรรมฉันทะ พอใจในธรรมะซึ่งนำความเจริญให้เกิดขึ้นได้ อาศัยฉันทะความอยากได้สร้างความกระตือรือร้น เพื่อจะได้มีความพากเพียรมีวิริยะมีความอุตสาหะพยายาม ถ้าหากเราดำเนินชีวิตอย่างที่คิดว่า การดับทุกข์ คือ ไม่ทำอะไร นั่นไม่ใช่ลักษณะคำสอนของพระพุทธเจ้า
ได้มีการรวบรวมข้อธรรมะหลักต่างๆที่พระพุทธเจ้าทรงถ่ายทอดในช่วงประมาณ ๒ ปีสุดท้ายของชีวิตเป็นข้อธรรมะสำคัญที่สุดที่พระองค์ทรงเน้นสอน ญาติโยมและคณะสงฆ์เรียกว่า โพธิปักขิยธรรมแสดงลักษณะแกนกลางของการปฏิบัติที่ถูกต้อง ว่าต้องอาศัยอะไรบ้าง ได้แก่ธรรมะ ๓๗ ข้อ คืออิทธิบาท ๔ สติ ปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรค ๘
ถ้าเราพิจารณาดูจะเห็นว่า มีข้อธรรมะที่เกี่ยวกับวิริยะความพากเพียรมากกว่าข้ออื่นๆฉะนั้นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าจำเป็นต้องขยัน ถ้าได้สมัครเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าโดยความหวังว่าจะได้ขี้เกียจก็จะต้องผิดหวัง เมื่อเราเข้าใกล้คำสอนของพระพุทธเจ้า มีศรัทธาที่ถูกต้องผลที่ออกมาจะเป็นวิริยะความเพียร เราจะต้องมีความอยากได้ที่ถูกต้องและมีความพากเพียรพยายาม
(มีต่อ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น