วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อริยสัจ ๔

          เมื่อเช้าพวกเราได้สวดมนต์บทเขมาเขมสรณทีปิกคาถา​เกี่ยวกับสรณะ หรือที่พึ่งสรณะที่ถูกต้อง​สรณะที่ไม่ถูกต้อง​เขมาแปลว่า มั่นคง​เขมาเขมสรณะ​ ก็คือ​สรณะที่มั่นคง​ผู้ใดถือเอาพระพุทธ​พระธรรม​พระสงฆ​์เป็นสรณะแล้ว​เห็นอริยสัจ​ คือความจริงอันประเสริฐ​๔​ ด้วยปัญญาอันชอบ​ คือ ​เห็นความทุกข​์เหตุให้เกิดทุกข​์ความก้าวล่วงทุกข์เสียได้​และหนทางมีองค์​ ๘ ​อันประเสริฐ ​เครื่องถึงความระงับทุกข​์นั้นแหละ เป็นสรณะอันเกษม​นั้น เป็นสรณะอันสูงสุด​เขาอาศัยสรณะนั้นแล้ว​ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้​อาตมาว่าเป็นเรื่องที่น่าคิดน่าพิจารณาว่า​ ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์​ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ​เราได้อิงอาศัยอะไรเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง​เพื่อจะได้มีความมั่นคง​ 
          บางทีคิดๆ​ แล้วก็น่าอับอายขายหน้าจริงๆ​ลองคิดดูว่า​เมื่อมีอะไรที่ไม่ถูกใจเกิดขึ้น​เราเอาอะไรเป็นที่พึ่ง​เราก็มักเอาอารมณ์นี่แหละเป็นที่พึ่ง ​ไม่พอใจก็ไปว่าเขาด้วยวาจา​หรือว่าเขาอยู่ในใจ​อย่างนี้ก็ไม่น่าจะเป็นสรณะอันเกษม​หรือ เช่น เมื่อเวลาเรากลับถึงบ้าน​ไม่มีใครอยู่บ้าน​ไม่รู้จะคุยกับใคร​ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร​ลองคิดดูว่า​ เรามักจะเอาอะไรเป็นที่พึ่ง​ก็เอาตู้เย็นบ้าง​โทรทัศน์บ้าง​คอมพิวเตอร์บ้าง​เป็นที่พึ่ง เป็นสรณะ​ คือเราจะเอาอะไรต่ออะไรที่พอจะฆ่าเวลาหรือพอจะแก้ความเหงาได้บ้าง เป็นสรณะ​มันก็พอได​้แต่มันไม่ได้เป็นสรณะอันเกษม​ไม่ได้เป็นสรณะที่น่าปรารถนา​ คือเราไม่ได้เอาการดับทุกข์เป็นสรณะ 
          การฝึกอบรมตนเองก็เพื่อจะได้มีที่พึ่งที่จะดับทุกข์ได้​พระพุทธเจ้าทรงให้เรา​ถืออริยสัจ​๔ ​เป็นสรณะของเรา ​โดยให้ยกขึ้นมาพิจารณา​ยกขึ้นมาสังเกต​ยกขึ้นมา เพื่อทบทวนสิ่งที่ได้เกิดขึ้น​พระพุทธองค์เปรียบเทียบโดยยกบ้านหลังใหญ่​เป็นตัวอย่าง​ บ้านที่มั่นคง​บ้านหลังใหญ่สูงสองชั้นสามชั้น​มีห้องหลายห้อง​มีประตู​มีหน้าต่าง​การสร้างบ้านหลังนี้ต้องทำพื้นฐานให้ดี​ ถ้าหากใครจะคิดว่า​ไม่ต้องมีการลงฐานลงรากของบ้านมันก็เป็นไปไม่ได้ มันทำไม่ได้จะสร้างอย่างไรก็ไม่สำเร็จผล เช่นเดียวกัน​พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า​ใครคิดว่าจะสามารถดับทุกข์ได ​้หรือจะอยู่อย่างผู้ปราศจากทุกข์ได้โดยไม่นำอริยสัจ​๔​ มาพจิารณาและนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เราจำเป็นต้องอาศัยอริยสัจ​๔ เป็นฐานในการดำเนินชีวิตและใช้ในการฝึกหัดตนเองเพื่อออกจากทุกข์ให้ได้ เพื่อจะได้อยู่อย่างคนที่มีที่พึ่ง มีสรณะ ในตนเอง​ 
          พระผู้ใหญ่สายทิเบตองตค์หนึ่งซึ่งตอนนี้ท่านสิ้นไปแล้ว ท่านเป็นพระที่มีลูกศิษย์มากเป็นอาจารย์ที่เก่งมากในเรื่องกรรมฐาน และเป็นอาจารย์สอนกรรมฐานให้องค์ดาไลลามะ ความเก่งของท่านเป็นที่ยอมรับ ​ครั้งแรกที่ท่านเดินทางไปสหรัฐอเมริกา​ท่านไปเยี่ยมสำนักที่อยู่ใกล้ๆ​ วัดอภัยคีร​ี อาตมาได้พาลูกวัดไปกราบท่าน​ ท่านก็ดีใจ​ที่ได้พบนักบวชด้วยกัน ​ในวันนั้นคนมากราบคารวะท่านมาก​แล้วท่านได้ให้โอวาท​อาตมาจำได้ว่า ​ท่านพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า​ถ้าหากว่าเราได้ปฏิบัติในพุทธศาสนา​เราได้ไปฟัง ธรรมะจากสำนักต่างๆในที่ต่างๆ หรือจากอาจารย์ต่างๆ ไม่ว่าจะอยู่ในสายไหนลัทธิไหนก็ตามแต่ ถ้าหากท่านสอนนอกอริยัส​๔ ก็เป็นอันรู้ได้ว่านั้นไม่ใช่พุทธศาสนา​ หลักมีอยู่เพียงแค่นี้แหละ ขนาดท่านเป็นพระทิเบตซึ่งมีอุบายและวิธีการต่างๆในการปฏิบัติ ตลอดจนพิธีกรรมหรือพิธีรีตรองต่างๆ​มากมายเหลือกเกิน แต่โดยที่ท่านเป็นพระสายปฏิบัติ ​ท่านก็รู้ว่า​เพียงอริยสัจ​๔​ เท่านี้แหละ​ เป็นสิ่งที่เราจะตัดสินได้ว่า​เรากำลังฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ใช่หรือไม​่  ธรรมะของพระพุทธเจ้าต้องมีอริยสัจ​๔​ ประกอบ​และในการปฏิบัติ​พวกเราจะต้องยกอริยสัจ​๔​ ขึ้นมาพิจารณา​ 
         อริยสัจข้อที่หนึ่ง ​คือ​ ทุกข์​ซึ่งบางครั้งก็เป็นเหตุให้คนตั้งข้อสงสัยหรือแสดงความไม่พอใจว่า​ทำไมพุทธศาสนาสอนแต่เรื่องทุกข​์น่าเบื่อเหลือเกิน​ เหมือนพุทธศาสนามองโลกในแง่ร้าย​ทำไมจึงเป็นอย่างนี้​แต่ที่พระพุทธเจ้าสอนเรื่องทุกข์​ท่านไม่ได้สอนอริยสัจ​๑ ​คือ สอนว่า อริยสัจคือทุกข์ แล้วก็จบ​ถ้าเป็นเช่นนั้นก็อาจจะไม่น่าเชื่อถือ และน่าลังเลสงสัย​หากท่านสอนอริยสัจ​๔​ ได้แก่​ อริยสัจคือทุกข์​ อริยสัจคือเหตุ ให้เกิดทุกข​์ อริยสัจคือการดับทุกข​์ และ​อริยสัจคือหนทางที่จะดับทุกข์​ คำสอนของพระพุทธเจ้าจึงสมบูรณ​์   การที่ยกอริยสัจ คือทุกข์ขึ้นมานั้น ​เพราะพระพุทธองค์ทรงเมตตากรุณามาก​อยากให้เราได้พ้นจากความทุกข​์เปรียบเสมือนหมอ​เวลาเราไปหาหมอ​หมอ ก็ต้องถามเราว่า​เราเจ็บตรงไหน​เราจะเกิดความไม่พอใจไหม​เอ้...​ทำไมหมอคนนี้มองเราในแง่ลบ​ หมอจำเป็นต้องรู้ว่าคนไข้เจ็บตรงไหน​จึงจะหาวิธีรักษาได้​แต่ถ้าคนเป็นโรค​แล้วไม่รู้ว่าตัวเองเจ็บตรงไหน​ปวดตรงไหน​ อย่างนี้ก็แก้ยาก​บางทีหมอก็ไม่รู้จะช่วย อย่างไร​ ถ้าคนไข้ไม่รู้​หมอถาม​แต​่คนกำลังเป็นโรค กลับตอบเหมือนกับปฏิเสธว่าไม่มีโรค​หมอก็ย่อมจะช่วยไม่ได ​้เหมือนมีคนชอบมาถามอาตมาว่า​ เขาจะปฏิบัติตามพุทธศาสนาทำไม​ในเมื่อเขาไม่เห็นจะมีความทุกข์เลย​แล้วเราจะตอบเขาอย่างไร ​เราจะช่วยเขาได้อย่างไร​อาตมาเพิ่งสอนที่ยุวพุทธฯ​ มีคนเขียนคำถามอย่างน​ี้ อาตมาก็ตอบเขาว่า ​ช่วยไม่ได้หรอก​พูดกันไม่รู้เรื่อง 
          เมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนอริยสัจ ๔ ท่านสอนด้วยว่า เรามีกิจหรือมีหน้าที่ที่ต้องทำต่ออริยสัจเหล่านั้นอย่างไร อริยสัจคือทุกข์ หน้าที่ของเราต่อทุกข์ คือเราต้องกำาหนดรู้ เราต้องรู้ให้แจ้งว่าทุกข์ที่ปรากฏคืออะไร มีลักษณะอย่างไร แสดงออกอย่างไร ​เราต้องให้ความสนใจสังเกตดูอย่างใกล้ชิดเพื่อจะสามารถเข้าใจว่าเหตุที่ก่อให้เกิดทุกข์นั้นๆ คืออะไร ตราบใดที่เรายังไม่เข้าใจในเหตุ ยังไม่ได้กำาหนดรู้จนชัดเจน​ ก็เหมือนกับเราไปหาหมอแล้วบอกไม่ได้ว่ามีอาการอย่างไร 
       อริยสัจข้อที่สอง​คือ ​เหตุให้เกิดทุกข​์ เรามีหน้าที่ที่จะละ​เราต้องละเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์​สัญชาตญาณของมนุษย์เราโดยปกติ​เมื่อมีความทุกข์ก็อยากจะละความทุกข​์ อยากจะพ้นจากความทุกข์​อยากจะหนีออกจากความทุกข​์อยากจะทำาลายความทุกข์​ แต่พระพุทธเจ้าสอนให้เรากำหนดรู้ไว้ก่อน​สร้างความเข้าใจไว้ก่อน​เพื่อจะได้เข้าใจใน เหตุ​เหตุนั้นแหละคือสิ่งที่เราจะต้องละเสีย​ส่วนเรื่องความทุกข์เราต้องให้ความสนใจ 
        คำศัพท์ภาษาบาลีว่า ​ปหาน ​คือ​ การละหรือกำจัด ​เป็นคำศัพท์เดียวกับที่ภาษาไทยเอามาใช้​ประหาร​ซึ่งค่อนข้างจะรุนแรง มันจะประหารจะตัดให้ได้จะฆ่ามันทิ้งเสีย จะทำลายเหตุเหตุให้ได​้ คำศัพท์ก็บ่งชัดอย​ู่ แต่ว่ามันเป็นหน้าที่ที่ถูกต้องที่เราจะต้องทำต่อ อริยสัจคือ เหตใุห้เกิดทุกข์ เพราะถ้าเรามุ่งแต่จะวิ่งละความทุกข์แต่ยังอุ้มเหตุเอาไว้ มันก็จะยังมีปัญหาอยู่ เหมือนกับเราทำสวยปลูกนี่ปลูกนั่นไว้ แล้วมีวัชพืชขึ้นมารบกวน​แทนที่จะกำจัดวัชพืชโดยการถอนราก​ เรากลับเอากรรไกรมาตัดแค่ใบทิ้ง​แล้วก็บ่นว่าทำไมวัชพืชมันไม่ตายเสียที​ นี่แหละมันก็เหมือนกับเรามีความทุกข์อยู่​ เพราะยังเก็บเหตุเอาไว้​แล้วชอบบ่นว่าทำไมมีความทุกข์​สงสารตัวเอง​กลุ้มใจ​ ชีวิตไม่น่าเป็นอย่างนี้เลย ​เรื่องของเรื่องก็เพราะเรายังอุ้มเหตุเอาไว้แหละ​แล้วจะโทษใครได้​มันเป็นเรื่องของเจ้าของ​เราจึงต้องสร้างความเข้าใจว่าเหตุที่แท้จริงคืออะไร​ 
          พระพุทธเจ้าให้เราพิจารณาที่ตัณหา​ ๓​ ประการ​ ตัณหา​คือ​ความอยากได้​ ได้แก่​ หนึ่ง​กามตัณหา​ความอยากได้ในกาม​ความอยากได้ในความเพลิดเพลินยินดีกับรูป​เสียง​กลิ่น​รส​ โผฐฐัพพะ​ธรรมารมณ์ ​คือ​จิตมันวิ่งออกไปสู่ภายนอก​สอง​ ภวตัณหา​ ความอยากได​้อยากมี​อยากเป็น​ เช่น ​อยากได้รับคำสรรเสริญ​อยากได้รับการยอมรับ อยากให้สำเร็จ อยากได้อย่างนี้อยากได้อย่างนั้น เป็นเรื่องของความรู้สึกต่อตัวตน เป็นการเพิ่มระดับตัวตนของเรา ​สาม​วิภวตัณหา​ความไม่อยากมีไม่อยากเป็น เป็นในลักษณะไม่อยากให้ตัวเองเป็นอย่างนี้ ไม่อยากให้โลกเป็นอย่างนี้ ไม่อยากประสบสิ่งที่ไม่ถูกใจ จะเกลียดสิ่งที่ไม่ชอบใจที่เกิดขึ้น อย่างนี้เป็นกระแสของวิภวตัณหา คือ มันจะผลักออกเป็นความไม่พอดีของจิตใจ เดี๋ยวทรุดลงทางนี้เดี๋ยวทรุดลงทางโน้น​ 
          ความพอดีจะอยู่ที่การละตัณหา​ละความอยากได้​ เมื่อละความอยากเสียแล้ว​ เราจะเหลืออะไรไหม​มันจะไม่ทำให้เรากลายเป็นคนงอมืองอเท้า หรือ​มันไม่เป็นเช่นนั้นหรอก ​เพราะตัณหามันเป็นศัพท์เฉพาะ​ตัณหา ​คือ ความอยากได้ก็จริง​แต่เงื่อนไขของคำศัพท์ว่า ตัณหา​ คือ ​เป็นความอยากได้ที่มีความโลภ​ความโกรธ​ความหลง​มีกิเลสประกอบด้วย​ เมื่อมีกิเลสซึ่งเป็นครื่องเศร้าหมองประกอบ​ มันก็ต้องเกิดความ ทุกข์ได้​
        ส่วนความอยากที่ดีงาม​น่าพอใจ​น่าปรารถนา​ พระพุทธเจ้าท่านใช้คำศัพท์อีกคำหนึ่ง ​คือ คำว่า​ฉันทะ ​เป็นคำศัพท์ที่บางทีใช้ไปในทางไม่ดี ​เช่น ​กามฉันทะ​ความพอใจในกาม ​ซึ่งป็นนิวรณ์ข้อแรก​แต่เมื่อใช้ไปในทางบวกหรือทางดี​ จะใช้คำศัพท เดี่ยวๆ​ว่า ​ฉันทะ​อยู่ในหมวดธรรม​อิทธิบาท๔ ​อันเป็นพื้นฐานหรือรากฐานของความสำเร็จ​ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา​ คนเราต้องมีฉันทะ​ความพอใจ​ต้องมีความ อยากได้​ เพราะถ้าไม่มีความพอใจ​ไม่มีความอยากได้​ก็จะทาำอะไรไม่สาำเร็จ ​แต่ต้องออกไปในทางดี​เป็นประโยชน์​อย่างที่ใช้กัน เช่น ​กุศลฉันทะ​พอใจในกุศล​ธรรมฉันทะ พอใจในธรรมะ​ซึ่งนำความเจริญให้เกิดขึ้นได้ ​อาศัยฉันทะความอยากได้​สร้างความกระตือรือร้น ​เพื่อจะได้มีความพากเพียร​มีวิริยะ​มีความอุตสาหะพยายาม ​ถ้าหากเราดำเนินชีวิตอย่างที่คิดว่า​ การดับทุกข์ คือ ไม่ทำอะไร​ นั่นไม่ใช่ลักษณะคำสอนของพระพุทธเจ้า​
          ได้มีการรวบรวมข้อธรรมะหลักต่างๆ​ที่พระพุทธเจ้าทรงถ่ายทอดในช่วงประมาณ​ ๒ ​ปีสุดท้ายของชีวิต​เป็นข้อธรรมะสำคัญที่สุดที่พระองค์ทรงเน้นสอน ญาติโยมและคณะสงฆ์​เรียกว่า ​โพธิปักขิยธรรม​แสดงลักษณะแกนกลางของการปฏิบัติที่ถูกต้อง ว่าต้องอาศัยอะไรบ้าง ​ได้แก่​ธรรมะ ๓๗ ข้อ​ คือ​อิทธิบาท ๔ สติ ปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรค ๘ 
          ถ้าเราพิจารณาดู​จะเห็นว่า มีข้อธรรมะที่เกี่ยวกับวิริยะความพากเพียร​มากกว่าข้ออื่นๆ​ฉะนั้น​ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าจำเป็นต้องขยัน​ ถ้าได้สมัครเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าโดยความหวังว่าจะได้ขี้เกียจก็จะต้องผิดหวัง​ เมื่อเราเข้าใกล้คำสอนของพระพุทธเจ้า​ มีศรัทธาที่ถูกต้อง​ผลที่ออกมาจะเป็นวิริยะความเพียร​ เราจะต้องมีความอยากได้ที่ถูกต้องและมีความพากเพียรพยายาม​

(มีต่อ)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น