วิเนยยะ โลเก อะภิชฌา โทมะนัสสัง คือ การถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้ ตัวนี้ก็เป็นตัวสำคัญ เพราะจิตใจเราชอบแส่ส่ายไปกับความพอใจ ความไม่พอใจ ความชอบ ความไม่ชอบเกลียดชังยินดียินร้าย คือ จิตมันชอบกลับไปกลับมาอย่างนี้
สำหรับนักปฏิบัติเราต้องทำใจให้เป็นกลาง ต้องกลับมาที่ “ผู้รู้” และถอนความพอใจ และความไม่พอใจในโลกเสีย โลกในที่นี้คืออะไร โดยปกติคนก็ว่าโลก คือ สิ่งนอกตัวเราจะเป็นคนเป็นตึกเป็นต้นไม้เป็นภูเขาหรืออะไรๆก็แล้วแต่ แต่สำหรับพระพุทธเจ้าโลก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เป็นสิ่งที่เราสัมผัส หรือรรับรู้ทางตา หู จมูล ลิ้น กาย และจิตใจของเรานี่คือ โลก ไม่มีอะไร นอกจากนี้ โลกจะแคบโลกจะกว้างมันก็ไม่ได้เกินกว่านี้ เป็นหน้าที่ที่เราต้องเข้าใจฌลก เพื่อว่าเราจะไม่เป็นทาสของการรัดเกียวด้วยความพอใจไม่พอใจ ชอบใจไม่ชอบใจ ยินดียินร้าย ให้เรากลับมาหาจิตที่เป็นกลาง ทำตนให้เป็นผู้รู้ ทำให้เป็นผู้ตื่น ทำให้เป็นผู้เบิกบานในปัจจุบัน
นี่คือการหาความสุขในปัจจุบัน เราทำความแจ่มใสให้เกิดขึ้นในปัจจุบัน เพราะโดยปกติเรามักคิดอยู่เรื่อยว่า เมื่อไหร่นะถึงจะได้ไปบ้าน บุญเราก็เริ่มวางแผนแล้วว่า เราจะได้ไปบ้านบุญวางแผนว่าจะได้นั่งสมาธิแล้วเราจะได้มีความสงบบ้างก็แล้วเราจะไม่คิดถึงปัจจุบันหรือ? มัวแต่ผัดวันประกันพรุ่งว่าโน่น...โน่น... เมื่อนั้นเราจะได้ปฏิบัติเสียที จริงๆแล้วเราต้องทำหน้าที่ในปัจจุบันต้องให้ความสำคัญกับปัจจุบัน
หากเราได้ฝึกจิตใจของเราให้สนใจในปัจจุบัน สร้างความสุขในปัจจุบันโดยอาศัยคุณธรรมมีสติมีสัมปชัญญะให้เป็นคนที่มีความเพียร และไม่แส่ส่ายไปตามความชอบหรือไม่ชอบนี่แหละคือการกลับมาหาหลักคือมีผู้รู้ในจิตของเรา
เมื่อเราพยายามที่จะตั้งผู้รู้มันก็เป็นธรรมดาที่จะต้องมีสิ่งที่อาตมาเพิ่งพูดถึง คือ นิวรณ์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า นิวรณ์เป็นเครื่องกีดกั้นคุณงามความดีของเราเป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองปราศจากความเบิกบานได้แก่
๑.กามฉันทะความพอใจในกาม หมายถึง ความเพลิดเพลินยินดีกับสิ่งที่ได้เห็นสิ่งที่ได้ยินสิ่งที่ได้สัมผัสโดยตาหูจมูกลิ้นกายและจิตใจของเรา
๒.พยาบาทคือความไม่พอใจไม่ชอบใจโกรธโมโห
๓.ความง่วงเหงาหาวนอนหรือความสะลึมสะลือจิตใจไม่ชัดเจน
๔.ความฟุ้งซ่านรำคาญ และ
๕.ความลังเลสงสัย
เวลาที่เราจะทำจิตใจให้สงบนิวรณ์เป็นสิ่งที่เราต้องสังเกตให้เห็นอย่างชัดเจน เพื่อหาอุบายที่จะแก้ไขให้ได้เพราะตราบใดที่ยังไม่เห็นชัดเจนว่าเรากำาลังถูกนิวรณ์ตัวไหนครอบงำอย่างไร มันก็ยากที่จะแก้ไขได้อย่างถูกต้อง เช่นที่อาตมาเคยพบพระองค์หนึ่ง ท่านมีนิสัยเป็นคนที่มีโทสะเป็นพื้นฐานท่านหงุดหงิดง่ายไม่พอใจง่าย แล้วท่านก็เร่งทำอสุภกรรมฐานเลยยิ่งทำให้เป็นคนขี้โกรธมากขึ้นเพราะมันไม่ถูกทาง อสุภกรรมฐานเป็นวิธีการที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญก็จริงอยู่แต่ท่านไม่ได้สรรเสริญสำหรับการแก้ไขโทสะ ท่านสรรเสริญว่า อสุภกรรมฐานเป็นอุบายวิธีที่เหมาะจะแก้ไขความโลภหรือความเพลิดเพลินในกามเหมือนกับเราเป็นช่างจะขันสกรู เราก็ต้องใช้ไขควงมันจึงจะขันได้ถ้าเรากลับเอาค้อนมาทุบมันก็ไม่ถูกหลักเราต้องรู้จักเลือกใช้ เครื่องมือที่ถูกต้อง
เช่นเดียวกับจิตใจของเรา เราต้องสังเกตดูว่ากำาลังเกิดนิวรณ์ลักษณะไหนในจิตใจเราจะได้แก้ไขด้วยวิธีที่ถูกต้องเราต้องหาอุบายที่เหมาะกับสภาพจิตของเรา ไม่ใช่ว่าจะใช้วิธีใดก็ได้ที่มีในตำราตำรับตำรามันก็ถูกอยู่ แต่ว่าปัญหาอยู่ที่เราอาจจะใช้ไม่เป็น เราจึงต้องให้ความสนใจแล้วเราแก้ไขนิวรณ์เพื่ออะไรก็เพื่อทำให้จิตใจเกิดความเบิกบานอิ่มเอิบ เมื่อเราแก้ไขนิวรณ์ได้จะเหมือนกับเราได้ยกของหนักออกจากจิตใจ พระพุทธเจ้าท่านว่า ผู้ที่ได้แก้ไขนิวรณ์ย่อมได้รับความปราโมทย์ กับปีติ นี่ก็เป็นลักษณะโดยธรรมชาติ
พระพุทธเจ้ายกตัวอย่างเปรียบเทียบตามลำดับของนิวรณ์ว่า ผู้ที่มีกามฉันทะเปรียบเหมือนคนเป็นหนี้เป็นสิน ผู้ที่มีความพยาบาทครอบงำาเหมือนคนเป็นไข้ไม่สบายมีโรคเบียดเบียน ผู้ที่ติดความง่วงเหงาหาวนอนเหมือนคนอยู่ในเรือนจำ ผู้ที่มีความฟุ้งซ่านเหมือนคนเป็นทาส และผู้ที่มีความลังเลสงสัยเหมือนคนที่เดินทางไกลในที่เปลี่ยว
เมื่อพ้นจากนิวรณ์แล้วก็เหมือนพ้นจากการเป็นหนี้สินพ้นจากความเจ็บไข้ได้ป่วยพ้นจากเรือนจำได้รับอิสรภาพพ้นจากการเป็นทาสรับใช้คนอื่น และเดินทางถึงที่ปลอดภัยมันก็จะมีความอิ่มเอิบมีปีติมีความปราโมทย์ก็เป็นเรื่องธรรมชาติ
เราแก้ไขนิวรณ์เพื่อจิตใจจะได้เกิดความเบิกบาน เป็นการเปิดทางที่จะได้กำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออกและกำหนดจิตใจอย่างต่อเนื่องโดยสะดวกสบาย แต่ที่สำคัญอีกประการ คือ เป็นการถอดถอนหรือไม่ให้อาหารเลี้ยงสิ่งที่ทำให้กิเลสอื่นๆ มีกำลังตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ทุกอย่างมันต้องอาศัยเหตุอาศัยปัจจัย ทุกอย่างเกิดจากเหตุเมื่อมีเหตุสิ่งนี้จึงปรากฏเมื่อไม่มีเหตุสิ่งนี้ก็ไม่ปรากฏธรรมชาติ มันเป็นอย่างนั้น
ปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของเหตุและปัจจัยนั้น มันเริ่มต้นด้วย อวิชชา อวิชชาปัจจยา สังขาราไล่ไปจนถึงความทุกข์ เพราะมีอวิชชาจึงเกิดสังขาร เพราะมีสังขารจึงมีวิญญาณเกิดขึ้น เพราะมีวิญญาณจึงมีนามรูป มี สฬายตนะ มีผัสสะ มีเวทนา มีตัณหา มีอุปาทาน มีภพ มีชาติ มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย มีทุกข์โทมนัส ทั้งหลายเรามักคิดกันว่า อวิชชานี่เป็นของดั้งเดิม เหมือนกับเราอยู่ด้วยอวิชชาเป็นหลัก แต่มีพระสูตรที่พระพุทธเจ้าถามย้อนกลับว่า แล้วเหตุปัจจัยของอวิชชา คืออะไร ท่านก็ว่านิวรณ์ ๕ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้มีอวิชชา แล้วเราก็หล่อเลี้ยงอวิชชาไว้ด้วยนิวรณ์ ซึ่งเหมือนกับเป็นอาหารของมัน ตราบใดที่เรายังไม่แก้ไขนิวรณ์ เราก็ยังเลี้ยงอวิชชาไว้
หน้าที่ของนักปฏิบัติ คือ เราต้องเป็นผู้ที่พยายามแก้ไขตรงนี้ เมื่อเราไม่ได้เลี้ยงอวิชชาให้สมบูรณ์ชีวิตก็จะราบรื่นขึ้นมากทีเดียว ฉะนั้นให้เราสังเกตดูขณะที่เรามีนิวรณ์ครอบงำมันทำให้กระบวนการของพฤติกรรมดีๆ ทั้งการกระทำก็ดี คำพูดก็ดี การคิดนึกในจิตใจก็ดี ออกมาในลักษณะใด
ให้เราศึกษาว่า ตามหลักธรรมชาติอาศัยเหตุแบบไหนผลจึงปรากฏเช่นนั้น เราก็ถอยกลับไปได้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะไม่สร้างปัญหา ส่วนหนึ่งมันก็อยู่ที่การแก้ไขที่อวิชชาซึ่งเราต้องไม่เลี้ยงมันไว้ด้วยนิวรณ์เราจึงต้องพยายามหาอุบายที่จะทำให้นิวรณ์ดับสิ้นไปให้ได้ หรืออย่างน้อยก็ให้เบาบางลงเพื่อจะได้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น อันนี้เป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติที่จะเพียรฝึกหัดและศึกษาวิธีการแก้ไขนิวรณ์ต่างๆอันจะเป็นเหตุให้เกิดความปราโมทย ์เกิดปีติ ซึ่งความปราโมทย์และปีตินั้น พระพุทธเจ้าท่านว่า เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยหล่อเลี้ยงการปฏิบัติของเรา
บางครั้งเราอาจจะคิดว่า การมาปฏิบัติหรือการนั่งสมาธินี่มันยากเหลือเกิน ต้องอดนี่อดนั่นมันลำบากมันน่ากลัว แต่ที่จริงแล้วมันตรงกันข้าม เพราะการปฏิบัติเป็นการหาความสุขในปัจจุบันหาความสุขที่ถูกต้องหาความสุขที่ไม่มีโทษ และเมื่อความปราโมทย์เกิดขึ้น เมื่อปีติเกิดขึ้น โดยธรรมชาติของมันก็ย่อมเกิดปัสสัทธิ ความผ่อนคลายสงบเย็นจิตใจอิ่มเอิบมันก็ย่อมเกิดความสุขทั้งสุขใจทั้งสุขกาย นี่ไม่ใช่ สิ่งที่อาตมาพูดเอง หากเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ แล้วท่านก็ย้ำกระบวนการนี้ในหลายพระสูตรและในพระสูตรนั้นๆ ท่านก็ยังพูดหลายครั้งหลายหนท่านว่าความสุขเป็นเหตุปัจจัยให้สมาธิเกิดขึ้น หรือบางทีท่านก็ว่าจิตใจที่มีความสุขย่อมสงบง่าย นี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจ
ความสุขทางโลกเป็นความสุขที่ตื่นเต้นวุ่นวายมันไม่ใช่ความสุขที่พระพุทธเจ้า พูดถึงเรากำลังแสวงหาความสุขที่มีความผ่อนคลายมีความอิ่มเอิบมีความเบิกบาน ไม่มีอกุศลมาเจือปนไม่มีนิวรณ์ครอบงำ เมื่อเป็นอย่างนี้จิตใจย่อมสงบเมื่อจิตใจสงบ จิตใจมันก็ชัดเจนโปร่งใสสะอาดมันก็ย่อมเกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริงมันเป็นธรรมชาติเช่นนั้นเอง
พระอาจารย์ปสันโน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น