วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

สุขที่ผ่อนคลาย (ต่อ)

          วิเนยยะ โลเก อะภิชฌา โทมะนัสสัง ​คือ​ การถอน​ความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้​ ตัวนี้ก็เป็นตัวสำคัญ​ เพราะจิตใจเราชอบแส่ส่ายไปกับความพอใจ ความไม่พอใจ​ ความชอบ ความไม่ชอบ​เกลียดชัง​ยินดียินร้าย​ คือ ​จิตมันชอบกลับไปกลับมาอย่างนี้ 
          สำหรับนักปฏิบัต​ิเราต้องทำใจให้เป็นกลาง​ ต้องกลับมาที่​ “ผู้รู้”​ และถอนความพอใจ  และความไม่พอใจในโลกเสีย ​โลกในที่นี้คืออะไร ​โดยปกติคนก็ว่าโลก คือ สิ่งนอกตัวเรา​จะเป็นคน​เป็นตึก​เป็นต้นไม้​เป็นภูเขา​หรืออะไรๆ​ก็แล้วแต่ ​แต่สำหรับพระพุทธเจ้า​โลก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์​เป็นสิ่งที่เราสัมผัส หรือรรับรู้ทางตา หู จมูล ลิ้น กาย และจิตใจของเรานี่คือ โลก ไม่มีอะไร นอกจากนี้​ โลกจะแคบ​โลกจะกว้างมันก็ไม่ได้เกินกว่านี้ เป็นหน้าที่ที่เราต้องเข้าใจฌลก เพื่อว่าเราจะไม่เป็นทาสของการรัดเกียวด้วยความพอใจไม่พอใจ ​ชอบใจ​ไม่ชอบใจ ยินดียินร้าย ให้เรากลับมาหาจิตที่เป็นกลาง ทำตนให้เป็นผู้รู้ ทำให้เป็นผู้ตื่น ทำให้เป็นผู้เบิกบานในปัจจุบัน
          นี่คือการหาความสุขในปัจจุบัน ​เราทำความแจ่มใสให้เกิดขึ้นในปัจจุบัน​ เพราะโดยปกติเรามักคิดอยู่เรื่อยว่า ​เมื่อไหร่นะถึงจะได้ไปบ้าน บุญ​เราก็เริ่มวางแผนแล้วว่า เราจะได้ไปบ้านบุญ​วางแผนว่าจะได้นั่งสมาธ​ิแล้วเราจะได้มีความสงบบ้าง​ก็แล้วเราจะไม่คิดถึงปัจจุบันหรือ? ​มัวแต่ผัดวันประกันพรุ่งว่า​โน่น...​โน่น...​    เมื่อนั้นเราจะได้ปฏิบัติเสียที​ จริงๆ​แล้วเราต้องทำหน้าที่ในปัจจุบัน​ต้องให้ความสำคัญกับปัจจุบัน​
หากเราได้ฝึกจิตใจของเราให้สนใจในปัจจุบัน​ สร้างความสุขในปัจจุบัน​โดยอาศัยคุณธรรม​มีสต​ิมีสัมปชัญญะ​ให้เป็นคนที่มีความเพียร​ และไม่แส่ส่ายไปตามความชอบหรือไม่ชอบ​นี่แหละ​คือการกลับมาหาหลักคือมี​ผู้รู้​ในจิตของเรา 
         เมื่อเราพยายามที่จะตั้ง​ผู้รู้​มันก็เป็นธรรมดาที่จะต้องมีสิ่งที่อาตมาเพิ่งพูดถึง​ คือ ​นิวรณ​์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ​นิวรณ์เป็นเครื่องกีดกั้นคุณงามความดีของเรา​เป็นสิ่งที่ทำให้​จิตใจเศร้าหมอง​ปราศจากความเบิกบาน​ได้แก่ 
         ๑.​กามฉันทะ​ความพอใจในกาม​  หมายถึง​  ความเพลิดเพลินยินดีกับสิ่งที่ได้เห็น​สิ่งที่ได้ยิน​สิ่งที่ได้สัมผัส​โดยตา​ห​ูจมูก​ลิ้น​กาย​และจิตใจของเรา​ 
          ๒.​พยาบาท​คือ​ความไม่พอใจ​ไม่ชอบใจ​โกรธ​โมโห​ 
          ๓.​ความง่วงเหงาหาวนอน​หรือความสะลึมสะลือ​จิตใจไม่ชัดเจน​ 
          ๔.​ความฟุ้งซ่าน​รำคาญ​ และ 
          ๕.​ความลังเลสงสัย​ 
          เวลาที่เราจะทำจิตใจให้สงบ​นิวรณ์เป็นสิ่งที่เราต้องสังเกตให้เห็นอย่างชัดเจน​     เพื่อหาอุบายที่จะแก้ไขให้ได้​เพราะตราบใดที่ยังไม่เห็นชัดเจนว่า​เรากำาลังถูกนิวรณ์ตัวไหนครอบงำอย่างไร​ มันก็ยากที่จะแก้ไขได้อย่างถูกต้อง​ เช่น​ที่อาตมาเคยพบ​พระองค์หนึ่ง ท่านมีนิสัยเป็นคนที่มีโทสะเป็นพื้นฐาน​ท่านหงุดหงิดง่าย​ไม่พอใจง่าย​ แล้วท่านก็เร่งทำอสุภกรรมฐาน​เลยยิ่งทำให้เป็นคนขี้โกรธมากขึ้น​เพราะมันไม่ถูกทาง​ อสุภกรรมฐานเป็นวิธีการที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญก็จริงอยู่​แต่ท่านไม่ได้สรรเสริญสำหรับการแก้ไขโทสะ​ ท่านสรรเสริญว่า อสุภกรรมฐานเป็นอุบายวิธีที่เหมาะจะแก้ไขความโลภ​หรือความเพลิดเพลินในกาม​เหมือนกับเราเป็นช่างจะขันสกร​ู เราก็ต้องใช้ไขควง​มันจึงจะขันได​้ถ้าเรากลับเอาค้อนมาทุบ​มันก็ไม่ถูกหลัก​เราต้องรู้จักเลือกใช้ เครื่องมือที่ถูกต้อง 
          เช่นเดียวกับจิตใจของเรา ​เราต้องสังเกตดูว่ากำาลังเกิดนิวรณ์ลักษณะไหนในจิตใจ​เราจะได้แก้ไขด้วยวิธีที่ถูกต้อง​เราต้องหาอุบายที่เหมาะกับสภาพจิตของเรา​ ไม่ใช่ว่าจะใช้วิธีใดก็ได้ที่มีในตำรา​ตำรับตำรามันก็ถูกอย​ู่ แต่ว่าปัญหาอยู่ที่เราอาจจะใช้ไม่เป็น​ เราจึงต้องให้ความสนใจ​แล้วเราแก้ไขนิวรณ์เพื่ออะไร​ก็เพื่อทำให้จิตใจเกิดความเบิกบานอิ่มเอิบ ​เมื่อเราแก้ไขนิวรณ์ได้​จะเหมือนกับเราได้ยกของหนักออกจากจิตใจ​ พระพุทธเจ้าท่านว่า​ ผู้ที่ได้แก้ไขนิวรณ์​ย่อมได้รับความปราโมทย์ กับปีติ​ นี่ก็เป็นลักษณะโดยธรรมชาต​ิ 
          พระพุทธเจ้ายกตัวอย่างเปรียบเทียบตามลำดับของนิวรณ์ว่า ​ผู้ที่มีกามฉันทะเปรียบเหมือนคนเป็นหนี้เป็นสิน ​ผู้ที่มีความพยาบาทครอบงำาเหมือนคนเป็นไข้ไม่สบาย​มีโรคเบียดเบียน​ ผู้ที่ติดความง่วงเหงาหาวนอน​เหมือนคนอยู่ในเรือนจำ ​ผู้ที่มีความฟุ้งซ่านเหมือนคนเป็นทาส​ และผู้ที่มีความลังเลสงสัยเหมือนคนที่เดินทางไกลในที่เปลี่ยว​ 
          เมื่อพ้นจากนิวรณ์แล้ว​ก็เหมือนพ้นจากการเป็นหนี้สิน​พ้นจากความเจ็บไข้ได้ป่วย​พ้นจากเรือนจำได้รับอิสรภาพ​พ้นจากการเป็นทาสรับใช้คนอื่น​ และเดินทางถึงที่ปลอดภัย​มันก็จะมีความอิ่มเอิบ​มีปีติ​มีความปราโมทย์​ก็เป็นเรื่องธรรมชาติ 
          เราแก้ไขนิวรณ์เพื่อจิตใจจะได้เกิดความเบิกบาน​ เป็นการเปิดทางที่จะได้กำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออกและกำหนดจิตใจอย่างต่อเนื่องโดยสะดวกสบาย​ แต่ที่สำคัญอีกประการ​ คือ ​เป็นการถอดถอนหรือไม่ให้อาหาร​เลี้ยงสิ่งที่ทำให้กิเลสอื่นๆ​ มีกำลัง​ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า​ ทุกอย่างมันต้องอาศัยเหตุอาศัยปัจจัย ​ทุกอย่างเกิดจากเหต​ุเมื่อมีเหตุ​สิ่งนี้จึงปรากฏ​เมื่อไม่มีเหตุ​สิ่งนี้ก็ไม่ปรากฏ​ธรรมชาติ มันเป็นอย่างนั้น​ 
          ปฏิจจสมุปบาท ​กระบวนการของเหตุและปัจจัยนั้น​ มันเริ่มต้นด้วย อวิชชา​ อวิชชาปัจจยา สังขาราไล่ไปจนถึงความทุกข์​ เพราะมีอวิชชาจึงเกิด​สังขาร ​เพราะมีสังขาร​จึงมีวิญญาณเกิดขึ้น​ เพราะมีวิญญาณ​จึงมีนามรูป ​มี สฬายตนะ ​มีผัสสะ​ มีเวทนา​ มีตัณหา​ มีอุปาทาน​ มีภพ​ มีชาติ ​มีเกิด​ มีแก่ ​มีเจ็บ ​มีตาย​ มีทุกข์โทมนัส ทั้งหลายเรามักคิดกันว่า อวิชชานี่เป็นของดั้งเดิม เหมือนกับเราอยู่ด้วยอวิชชาเป็นหลัก​ แต่มีพระสูตรที่พระพุทธเจ้าถามย้อนกลับว่า แล้วเหตุปัจจัยของอวิชชา คืออะไร ​ท่านก็ว่า​นิวรณ์ ๕ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้มีอวิชชา แล้วเราก็หล่อเลี้ยงอวิชชาไว้ด้วยนิวรณ์ ซึ่งเหมือนกับเป็นอาหารของมัน​  ตราบใดที่เรายังไม่แก้ไขนิวรณ์ เราก็ยังเลี้ยงอวิชชาไว้ 
          หน้าที่ของนักปฏิบัต​ิ คือ ​เราต้องเป็นผู้ที่พยายามแก้ไขตรงนี้​ เมื่อเราไม่ได้เลี้ยงอวิชชาให้สมบูรณ​์ชีวิตก็จะราบรื่นขึ้นมากทีเดียว ​ฉะนั้น​ให้เราสังเกตดู​ขณะที่เรามีนิวรณ์ครอบงำ​มันทำให้กระบวนการของพฤติกรรมดีๆ​ ทั้งการกระทำก็ด​ี คำพูดก็ดี​ การคิดนึกในจิตใจก็ดี​ ออกมาในลักษณะใด 
          ให้เราศึกษาว่า​ ตามหลักธรรมชาติ​อาศัยเหตุแบบไหน​ผลจึงปรากฏเช่นนั้น​ เราก็ถอยกลับไปได้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะไม่สร้างปัญหา ส่วนหนึ่งมันก็อยู่ที่การแก้ไขที่อวิชชา​ซึ่งเราต้องไม่เลี้ยงมันไว้ด้วยนิวรณ์​เราจึงต้องพยายามหาอุบายที่จะทำให้นิวรณ์ดับสิ้นไปให้ได้​ หรืออย่างน้อยก็ให้เบาบางลง​เพื่อจะได้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น ​อันนี้เป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติ​ที่จะเพียรฝึกหัดและศึกษาวิธีการแก้ไขนิวรณ์ต่างๆ​อันจะเป็นเหตุให้เกิดความปราโมทย ​์เกิดปีติ​ ซึ่งความปราโมทย์และปีตินั้น​ พระพุทธเจ้าท่านว่า เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยหล่อเลี้ยงการปฏิบัติของเรา​ 
         บางครั้งเราอาจจะคิดว่า​   การมาปฏิบัติหรือการนั่งสมาธินี่มันยากเหลือเกิน ​ ต้องอดนี่อดนั่น​มันลำบาก​มันน่ากลัว​ แต่ที่จริงแล้วมันตรงกันข้าม​ เพราะการปฏิบัติเป็นการหาความสุขในปัจจุบัน​หาความสุขที่ถูกต้อง​หาความสุขที่ไม่มีโทษ​ และเมื่อความปราโมทย์เกิดขึ้น ​เมื่อปีติเกิดขึ้น ​โดยธรรมชาติของมันก็ย่อมเกิดปัสสัทธิ​ ความผ่อนคลายสงบเย็น​จิตใจอิ่มเอิบ​มันก็ย่อมเกิดความสุข​ทั้งสุขใจทั้งสุขกาย​ นี่ไม่ใช่ สิ่งที่อาตมาพูดเอง​ หากเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว​้ แล้วท่านก็ย้ำกระบวนการนี้ในหลายพระสูตร​และในพระสูตรนั้นๆ​ ท่านก็ยังพูดหลายครั้งหลายหน​ท่านว่า​ความสุขเป็นเหตุปัจจัยให้สมาธิเกิดขึ้น ​หรือ​บางทีท่านก็ว่า​จิตใจที่มีความสุขย่อมสงบง่าย นี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจ​
           ความสุขทางโลกเป็นความสุขที่ตื่นเต้นวุ่นวาย​มันไม่ใช่ความสุขที่พระพุทธเจ้า พูดถึง​เรากำลังแสวงหาความสุขที่มีความผ่อนคลาย​มีความอิ่มเอิบ​มีความเบิกบาน​ ไม่มีอกุศลมาเจือปน​ไม่มีนิวรณ์ครอบงำ ​เมื่อเป็นอย่างนี้จิตใจย่อมสงบ​เมื่อจิตใจสงบ​ จิตใจมันก็ชัดเจน​โปร่งใส​สะอาด​มันก็ย่อมเกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง​มันเป็นธรรมชาติเช่นนั้นเอง

พระอาจารย์ปสันโน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น