ตามตำราการภาวนามีอยู่สองประเภท คือ สมถะกับวิปัสสนา ซึ่งน่าจะเป็นมาแต่ไหนแต่ไรแล้วหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานคงจะเริ่มถกเถียงกันตั้งแต่นั้นแล้วว่า อันไหนถูกอันไหนควรจะทำอย่างไรควรจะแบ่งอย่างไร ซึ่งถ้าจะมีการถกเถียงกันระหว่างนักปฏิบัติบางทีมันจะเหมือนการดูถูกกันว่านั่นก็แค่สมถะหรือนั่นก็แค่วิปัสสนา คือ มันเป็นลักษณะธรรมชาติของมนุษย์เราที่ชอบหาเรื่องกันจริงๆ
ในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าท่านก็สอนในลักษณะเหมือนกับว่า ถ้าเป็นนกนกมันก็ต้องมีสองปีกจะไปไหนๆมันก็อาศัยสองปีกนี้ เช่นเดียวกันทั้งสมถะทั้งวิปัสสนานี้ต้องอิงอาศัยกัน เราไม่ได้ต้องพูดถึงวิธีการเท่าไรเราพูดถึงสภาพของจิตใจว่า จิตใจของเรามีความจำเป็นที่จะต้องมีสมถะคือ ความสงบความมั่นคงของจิตใจ และต้องมีวิปัสสนาการใคร่ครวญพิจารณา คือ ต้องรู้จักใช้ปัญญาฉะนั้นความสงบ กับปัญญามันต้องไปด้วยกัน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับนิสัยว่าจะอิงอาศัยอันไหนก่อน ไม่ได้อะไรผิดไม่อันนี้ถูกอันนั้นผิด มีพระสูตรหนึ่งที่พระอานนท์ผู้อยู่ใกล้ชิดพระพุทธองค์กล่าวว่า เท่าที่ท่านสังเกตุทุกคนที่ได้บรรลุธรรมด้วยการปฏิบัติ บางคนเอาสมถะก่อนเอาวิปัสสนาทีหลัง บางคนก็เอาทั้งสมถะและวิปัสสนาพร้อมกันมันก็แล้วแต่จะเลือก ฉะนั้น ตามความเป็นจริงก็คือ เป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติที่จะต้องสังเกตเองว่าอะไรเหมาะกับจริตของตัวเองอะไรช่วยให้นิวรณ์และกิเลสเบาบาง ตรงนี้แหละที่จะเป็นเครื่องตัดสิน
การทำกิเลสของเราให้เบาบาง มันก็ต้องอาศัยกำลังของจิตใจอาศัยกำลังของความแจ่มใสกำลังของความหนักแน่น และความหนักแน่นนั้นก็ต้องอาศัยความสามารถที่จะอยู่กับความสงบได้และสามารถที่จะใช้จิตใจในการคิดหาเหตุผลใคร่ครวญโดยความถูกต้องนี่เป็นหน้าที่ของเรา
หลวงพ่อชาท่านเปรียบเทียบสมถะที่ไม่ได้อาศัยวิปัสสนาว่า เหมือนเทียนที่ยังไม่ได้จุดมันก็เป็นเทียนเฉยๆ เมื่อยังไม่จุดก็ยังไม่ให้แสงสว่างอะไรเมื่อไปในที่มืดมีแต่เทียนที่ไม่ได้จุด มันก็จะชนนี่ชนนั่น มันก็ไม่เห็นทาง ส่วนวิปัสสนาเหมือนกับไม้ขีดไฟ คือ ไม้ขีดไฟจุดไฟได้เกิดความสว่างแต่สว่างเพียงครู่เดียวมันไม่ได้ทนนาน หน้าที่ของผู้ปฏิบัติคือจะต้องจุดไม้ขีดไฟเพื่อจุดเทียนมันจะได้เกิดความสว่างที่ใช้ได้ยาวนานมันจะมั่นคง
อาตมาได้พูดมาแล้วเกี่ยวกับลักษณะของการฝึกวิธีที่จะทำจิตใจให้สงบ ละได้พูดบ้างแล้วเกี่ยวกับอริยสัจ๔ อันเป็นฐานอย่างหนึ่งของวิปัสสนา
วปิสัสนา แปลว่า การรู้แจ้งในความถูกต้อง และรู้แจ้งในความเป็นจริง ความหมายก็มีแค่นี้อย่างที่เรายกขึ้นมาสังเกตยกขึ้นมาพิจารณาให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ไม่มีอะไรอื่นไกลมันเป็นสิ่งที่ทำให้รู้แจ้งถ้าหากว่าเราได้พิจารณาในขอบเขตนี้จะทำให้เรามีหลักในความเป็นจริงทำให้เรามีความหนักแน่น
ดังที่หลวงพ่อชาท่านให้ข้อคิด เหมือนกับคลื่นในทะเลกับฝั่งทะเลคลื่นจะซัดเข้าฝั่งอยู่ตลอดเวลากระทบฝั่งแล้วก็จะม้วนกลับออกไปสู่ทะเลอีก คลื่นซัดเข้ามาไม่ขาดสายแต่ฝั่งทะเลก็ยังอยู่อย่างมั่นคงไม่ไปไหนฝั่งทะเล เปรียบเหมือนนักปฏิบัติผู้พิจารณาอยู่ในอนิจจังทุกขังอนัตตาก็จะได้ต้อนรับประสบการณ์ได้เห็นได้สัมผัส สิ่งที่มากระทบตัวเราว่ามันเป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา เราก็มองในลักษณะนี้เข้ามากระทบแล้วก็ออกไปเข้ามากระทบแล้วออกไปแต่เราก็ยังอยู่อย่างมั่นคง และไม่ไปไหนเหมือนกับฝั่งทะเล
สำหรับผู้ที่ตั้งปัญญาตั้งผู้รู้ไว้ในการภาวนาก็จะคอยสังเกตคอยพิจารณา ไม่ใช่ว่าไม่รับรู้อะไรก็รับรู้อยู่ แต่รู้อยู่เฉพาะในลักษณะของมัน แทนที่จะเกิดความเพลิดเพลินยินดีในอาการของมันซึ่งอาการของมันจะแสดงออกในลักษณะว่า น่าชอบไม่น่าชอบ น่ายินดีน่ายินร้าย แต่ว่าเราไม่ดูอาการเราดูแต่ลักษณะของมันอันเป็นไตรลักษณ ์อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้าเราคิดถึงอาการของมันเราก็ถอยออกมาแล้ว ก็รับรู้ในขอบเขตของไตรลักษณ์ อย่างนี้ความรู้สึกก็จะเปลี่ยนคือ เราจะไม่ค่อยตื่นเต้นไม่ค่อยวุ่นวายกับสิ่งที่ได้สัมผัสที่เกิดขึ้นเราก็รู้ว่ามันก็เป็นเช่นนั้นเอง
ดังสำนวนภาษาไทยที่ว่า สักแต่ว่ามันก็สักแต่ว่าเราเห็นอะไรมันก็สักแต่ว่า การเห็นแต่โดยปกติเมื่อเห็นแล้ว...น่าชอบ ไม่น่าชอบ หรือทำไมมันเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างนั้น...เมื่อได้ยินหรือได้สัมผัสเรื่องอื่นๆ ก็เช่นกัน ก็ให้มันสักแต่ว่ามันเป็น สักแต่ว่าสิ่งที่เห็นมันสักแต่ว่าสิ่งที่โดยปกติเราจะพอใจหรือไม่พอใจ แต่ว่าเรายินดีที่จะเพียงรับรู้แล้วปล่อยให้มันค่อยๆม้วนวนกลับสู่ทะเลเหมือนกับมันเข้ามา
ตัวที่ว่าสักแต่ว่านี้ไม่ใช่เป็นการปฏิเสธหรือมีความเฉื่อยชาคือ เราต้องตั้งความสนใจจรงิๆต้องมีความตั้งใจที่จะรู้และเข้าใจ การที่เราเฉยๆเฉยชาหรรือเฉื่อยแฉะ นั่นจะกลายเป็นวิภวตัณหาไม่อยากสัมผัสไม่อยากเกี่ยวข้องคือ มันไม่อยากยุ่งแต่เป็นในลักษณะเกลียดอย่างนี้จิตก็จะไม่สมดุลเราต้องรับรู้ด้วยจิตใจที่เป็นกลาง มีผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานอยู่ตัวนี้เป็นตัวสำคัญ
บางคนคิดว่านักปฏิบัติธรรมต้องไม่มีความรู้สึกอะไรทั้งสิ้นคือ จะต้องเหมือนกับว่าไม่เอาอะไรผลักทุกอย่างออกเพื่อไม่ให้มีการสัมผัส ส่วนมากก็จะเป็นอย่างนั้น มันจะออกมาในลักษณะเกลียดหรือกลัวมากกว่า ถ้ามันเกลียดหรือกลัวมันก็ยังไม่สมดุลมันต้องเห็นโดย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ เห็นตามความเป็นจริงเวลาเห็นเห็นอย่างชัดเจนเห็นอย่างรอบคอบถี่ถ้วน ถ้าเราเห็นโดยธรรมะจริงๆความรู้สึกที่จะเกิดขึ้นคือ เมตตากรุณา มันไม่ใช่อย่างอื่นคือ ดูแล้วเราเห็นว่าสัตว์โลกมักชอบผูกพัน สัตว์โลกมักชอบเมาสัตว์โลกมักชอบมีเรื่อง แต่มันก็น่าเมตตาน่ากรุณาน่าเอ็นดูเหมือนกับเราเห็นลูกหมาทำนองนี้เอ..มันน่าเอ็นดูนะแล้วมันก็น่าสงสารเพราะว่า มันดูแลตัวเองไม่ได้มนุษย์เราก็อยู่ในสภาพอย่างนั้นทั้งน่าสงสารทั้งน่าเอ็นดูถ้าเราคิดในลักษณะนั้น
นักปฏิบัติเราก็ต้องพยายามพิจารณาโดยหลักธรรม ยกประเด็นของอนิจจังขึ้นมา เช่น เวลาเรากำหนดกรรมฐานของเราลมหายใจเข้าลมหายใจออก เราก็พยายามที่จะตั้งสติพยายามที่จะตั้งความสงบไว้ที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ซึ่งมันก็ทำได้ง่าย แต่ก็มีอีกวิธีหนึ่งซึ่งก็ไม่ยากคือ ลมหายใจเข้าเราก็พิจารณาว่ามันไม่เที่ยงมันเป็นอนิจจัง ลมหายใจออกมันก็ไม่เที่ยง เราก็พิจารณาดูว่าสภาพของโลกสภาพของสิ่งที่หล่อเลี้ยงตัวเราเองคือ ลมหายใจเข้าลมหายใจออกมันล้วนเป็นของไม่เที่ยงแล้ว สิ่งอื่นๆที่ได้รับการหล่อเลี้ยงจากอากาศจากลมมันก็เป็นของไม่เที่ยงเช่นเดียวกัน ร่างกายทั้งหมดมันก็เป็นของไม่เที่ยง จินใจมันก็เป็นของไม่เที่ยง อารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เช่น เรามั่นใจเราศรัทธามีกำลังใจในการภาวนามันก็ไม่เที่ยงนะหรือถ้าเราเกิดความท้อใจมันก็ไม่เที่ยงนะ เราก็กลับมาดูเออเหมือนกับลมหายใจเข้าลมหายใจออก เรากำหนดดูที่ความไม่เที่ยงสำนวนของหลวงพ่อชาเวลาท่านพูดถึงอนิจจังท่านจะใช้คำศัพท์ว่า ไม่แน่จะเป็นลมหายใจเข้าลมหายใจออกมันก็ไม่แน่ไม่รู้ว่า มันจะได้เข้าออกอีกนานเท่าไรก็ไม่แน่ หรือร่างกายก็ดีสถานการณ์ต่างๆในชีวิตก็ดีตลอดจนอารมณ์และการคิดนึกในจิตใจก็ดีเราจะให้มันแน่ได้ไหมมันก็ไม่แน่
เรื่องอนิจจัง ความไม่เที่ยง มักจะเหมือนกับว่า เราเห็นเรื่องภายนอกว่า เออมันไม่เที่ยงมันเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ๆๆ แต่เมื่อเราพูดถึงความไม่แน่ดูจะเป็นเรื่องว่าเรารู้สึกอย่างไรแล้วดึงอนิจจังเข้ามาสู่ภายในเราว่าเราสัมผัสสิ่งใดแล้วเรามีความรู้สึกอย่างไร ความรู้สึกนั้นมันก็ไม่แน่เช่นกันพิจารณาอย่างนี้จะช่วยได้มาก
เวลาลูกศิษย์หลวงพ่อชามากราบท่านบางทีก็มีข้อสงสัยบางทีกำลังตื่นเต้น หรือมีศรัทธาบ้างบางทีก็มีความไม่พอใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เมื่อเล่าให้หลวงพ่อฟังท่านก็มักหัวเราะและพูดว่า อ้าว... มันไม่แน่หรอก แล้วในที่สุดมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ มันเป็นเรื่องง่ายๆแต่เป็นสิ่งที่เราชอบมองข้ามเพราะในความรู้สึกของเราเราชอบคิดจะหาความแน่นอนให้ได้ แต่ความเป็นจริงไม่เป็นอย่างนั้นเรื่องอนิจจังจึงเป็น สิ่งที่เราต้องยกขึ้นมาพิจารณาเพื่อจะได้เห็นลักษณะของความเป็นจริงโดยอาศัยการสังเกตอย่างนี้แหละ การที่เราพิจารณาอนิจจังให้มากๆเมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้นพระพุทธเจ้าบอกว่าผลที่ได้จะเป็นเรื่องสมาธิก็ดีหรือเป็นเรื่องการเห็นแจ้งก็ดี เราจะไม่ติดในลักษณะอาการของสิ่งที่เกิดขึ้นเรียกว่าอนิมิตตสมาธิคือ ไม่ติดในนิมิตหรือในภาพ หรือในปรากฏการณภ์ายนอกเพราะว่าเราเน้นอยู่ที่การเปลี่ยนแปลง เราเน้นอยู่ที่ความไม่แน่ จิตจะไม่เกาะอยู่ที่การแสดงออกของอาการต่างๆ ผลที่เกิดขึ้นจึงเป็น อนิมิตตสมาธิ หรือเป็นอนิมิตตวิโมกข์ คือความหลุดพ้นโดยไม่ติดอยู่ในนิมิตหรือลักษณะอาการ ภายนอก
การพิจารณาเรื่องทุกข์ทำให้เรารู้แยบคายในสภาพของชีวิตปกติ เมื่อมีความปรารถนาอยากได้สิ่งใดจิตมันก็จะเกาะติดอยู่แล้วมันก็มักจะไม่เป็นไปตามที่เราปรารถนา หรือที่เราคาดคิดไว้ในใจนี่ก็เป็นลักษณะของความเป็นจริงอาศัยตัณหาความอยากได ้เราก็มักจะสร้างจินตนาการจนเกิดความรู้สึกว่าสิ่งนี้แหละเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา ทั้งๆที่จริงๆแล้วเราก็ยังไม่ได้รู้แน่ยังไม่ได้สัมผัสแต่ก็ได้เกิดความรู้สึกเกิดความหวังเกิดความปรารถนา พวกเราส่วนมากก็เคยมีประสบการณ์ เช่น ถ้าหากว่าไม่ได้รับประทานอาหารประเภทหนึ่งมานานมันก็เกิดความอยากจะทาน แหม...มันจะอร่อยอย่างนี้จะอร่อยอย่างนั้นแค่นึกถึงน้ำลายก็ไหลยืดเลยแต่เมื่อได้ซื้อมารับประทานแล้วเอ.... ทำไมมันไม่อร่อยเหมือนที่เราคาดไว้มันมักจะเป็นอย่างนั้นแหละเกิดขึ้นกับทุกคน
เราจินตนาการใฝ่ฝันไว้ว่ามันจะเป็นอย่างนี้มันจะเป็นอย่างนั้น โดยไม่ได้คำนึงเลยว่า ความอยากหรือตัณหาในที่สุดจะต้องลงที่ความทุกข์ ความทุกข์ว่าท้ายที่สุด แล้วมันก็ไม่สามารถที่จะให้ความอิ่มกับเราได้ไม่สามารถที่จะให้ความพอใจกับเราได้คำศัพท์ว่า ทุกข์นี้ไม่ใช่ว่าจะทุกข์ทรมานหรือจะบาดเจ็บอะไรมันทุกข์ในลักษณะที่มันไม่อิ่มไม่เอิบไม่พอไม่รู้สึกว่าพอไม่รู้สึกว่าได้ตามที่ปรารถนา ทุกครั้งที่เรา ปรารถนาแล้วมันไม่เป็นไปตามที่เราปรารถนานั้นแทนที่จะทบทวนดูว่า เราน่าจะละความอยากเลยไม่ดีหรือเรากลับคิดว่าเอ...หรือมันจะไม่ใช่สิ่งที่เราอยากจริงๆเดี๋ยว หาอย่างอื่นดีกว่าอย่างนี้แหละมันเลยไม่มีที่จบ
(มีต่อ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น