วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

สุขที่ผ่อนคลาย

          พวกเรามารวมกันเพื่อนั่งสมาธิภาวนา ​การฝึกสมาธิก็มีวิธีการมากมายหลายรูปแบบ ​เมื่อวานได้อธิบายอานาปานสติเป็นหลัก​ซึ่งวันนี้เราก็จะใช้หลักเดียวกัน​ เราจะนั่งขัดสมาธ​ินั่งพับเพียบหรือนั่งเก้าอี้ก็ได้​ ที่สำคัญขอให้นั่งหลังตรง​ร่างกายที่เที่ยงตรงจะทำให้จิตใจเที่ยงตรงเช่นกัน​ให้จิตใจของเราระลึกว่าเรากำลังทำอะไรอยู่​ เพราะบางครั้งเรานั่งลงโดยที่ยังไม่ทันได้ตั้งใจไว้ให้ดี​ หรือบางทีแค่นั่งลงแล้วก็รอความสงบให้เข้ามาหาเรา​ ถ้าเป็นอย่างนั้น​บางทีความสงบมันจะไปหาผู้อื่นเสียมากกว่า​ ฉะนั้น​เราจึงต้องเป็นผู้ที่ตั้งอกตั้งใจว่า​ เราจะแสวงหาความสงบให้จิตใจของเรา​ 
          เมื่อเริ่มนั่งก็ต้องทำการยกจิตของเราขึ้นมา​ในลักษณะตั้งเจตนาว่า​ เราปรารถนาความสุขความสงบให้กับตัวเอง​ดังที่เราสวดว่า​ อะหัง สุขิโต โหมิ ​ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ถึงความสุข​เป็นเจตนาที่เราควรจะทำาให้ชัดเจน​สร้างความรู้สึกให้ตัวเองว่า​ เราสมควรที่จะได้สัมผัสความสุขและความสงบ​เพราะว่าบางครั้งจิตใจของมนุษย์เรา อยากจะมีความสงบ ​อยากจะมีความเบิกบาน​ อยากจะมีความปลอดโปร่ง​ แต่บางทีในส่วนลึกๆของจิตใจนั้นก็ยังไม่กล้าคิดว่า ตัวเองเหมะที่จะเป็นเช่นนั้น เพียงแค่นี้มันก็เป็นอุปสรรคขัดขวางแล้ว ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะเริ่มการภาวนาด้วยการตั้งเจตนาให้ชัดเจนว่า ​ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ถึงความสุข​ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ถึงความสงบ ​ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ที่มีความเบิกบานแจ่มใส​ และเมื่อเราได้แผ่เมตตาให้ตัวเอง​อย่างชัดเจน​มันจะรู้สึกซาบซ่านไปทั่วร่างกายและจิตใจของเรา
แล้วเราก็ทำความรู้สึกนั้นให้แผ่ออกไป​ แท้ที่จริงจะว่าแผ่ออกไปก็ไม่ถูกสักเท่าไร​ คือทำจิตใจของเราให้กว้างขวางขึ้น​เป็นเหมือนกับเราสร้างภาชนะสำหรับตัวเอง เพื่อจะรับความสุข​ทำจิตใจของเราให้เข้าถึงความสุข​ให้เราเป็นผู้ที่ถึงความสงบ ​ให้เราเป็นผู้ที่ถึงความปลอดโปร่ง ให้เราทำฐานอันนี้ให้มั่นคงยิ่งขึ้น แล้วทำให้มันกว้างขวางต่อๆ​ไป​ เพื่อขอให้ผู้ที่ใกล้ชิดเราและผู้ที่เรามีความเคารพรัก​ให้เขามีความสุข​คือ​ จะเป็นบิดามารดาหรือเป็นญาติมิตรที่ใกล้ชิด​เราก็ขอให้เขามีความสุข 
          คำศัพท์ว่า​ แผ่เมตตา​ ก็เหมือนกับเราส่งเมตตาไปให้พ่อ​ให้แม่​ให้พ​ี่ให้น้อง​ ให้คนที่เรารัก​เหมือนเป็นบุรุษไปรษณีย์​ต้องเอาของไปส่งที่นั่นที่น​ี่ หากจิตใจของเราเหมือนฐานที่ขาดความหนักแน่น​เดี๋ยวคิดเรื่องนี้​เดี๋ยวคิดเรื่องโน้น​มันจะเหนื่อย ​แต่ถ้าเราทำฐานในจิตใจให้หนักแน่น​ทำให้จิตใจของเราเกิดความรู้สึกอิ่มเอิบ​อบอุ่นเบิกบาน​ แล้วก็ทำจิตใจของเราให้กว้างใหญ่ขึ้น​พอที่จะชวนคนที่เรารักให้เข้ามาร่วมรับ ความสุขความสบายในจิตใจของเราได​้ 
         และก็เช่นเดียวกัน​เราก็ทำจิตใจของเราให้กว้างขวางไพศาลยิ่งขึ้นไปสู่ผู้ที่เป็นกลางๆ​และแม้กระทั่งคนที่เราไม่ชอบ​ เพราะตามความเป็นจริงแล้ว​คนเหล่านั้นและทุกๆ​ชีวิตก็ล้วนต้องการความสุขด้วยกันทั้งนั้น​ เราจึงควรทำฐานเอาไว้ให้หนักแน่นมั่นคง แต่ที่สำคัญคือ ความหวังดีต่อตัวเอง ​เมตตา​แปลว่า หวังดีบางคนก็คิดว่า เราจะแผ่เมตตาให้คนที่เราไม่ชอบขี้หน้าได้อย่างไรหากลักษณะของเมตานั้นไม่ใช่ว่าเราจะต้องยอมคนอื่น หรือแม้แต่จะต้องชอบเขา แต่เราสามารถที่จะหวังดีต่อเขาได้ สามารถที่จะเอื้ออารี และตั้งความปรารถนาให้เขามีความสุข เพราะคนที่มีความสุขที่ถูกต้อง เขาน่าจะเป็นคนดีขึ้น มันก็เป็นเรื่องง่ายๆที่เราไม่ต้องคิดมา ไม่ต้องขี้เหนียว เมตตาของเรา​ยิ่งให้ยิ่งดี เรายิ่งไม่ขาดยิ่งให้ยิ่งได้นะ นี่เป็นลักษณะของการสร้างคุณธรรม 
          เมื่อเราได้ตั้งเมตตาจิตไว้​ คือ​ เรามีความหวังด​ี โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อตัวเอง​ ตัวนี้จะเป็นฐานรองรับ​และเมื่อฐานนี้ยิ่งแข็งแรง​จิตใจของเราก็จะยิ่งมั่นคง ​เพราะลักษณะของจิตที่มีเมตตาเป็นจิตที่เบิกบาน​เวลาที่จิตใจของเราเบิกบาน​เราทำอะไร เราก็จะมีความสุข​เมื่อมีความสุข​จิตใจก็จะมั่นคง​ มันเป็นลักษณะธรรมชาติที่ไม่มีอะไรแปลกประหลาด หรือวิเศษจนเกินไป​เป็นเรื่องของธรรมชาติ ​เมื่อเรามีจิตใจที่เมตตาเอื้ออารี​เราจะเข้าใจว่าเราจะสร้างความสุขได้ที่ไหนอย่างไร​ ลองคิดดูว่า​นักปฏิบัตินักกรรมฐานจะนั่งสมาธิหาความสุขได้ตรงไหน ​เราจะแสวงหาความสุขจากอดีตไหม​ย่อมไม่ได้ เพราะมันผ่านไปแล้ว​ถ้าเราเอาของเก่ามาคิดว่าเคยมีความสุขอย่างนี้อย่างนั้น​ มันก็จะกลายเป็นความอาลัยกังวลต่ออดีตอารมณ์​แล้วมันก็ไม่ได้ทำให้จิตใจเบิกบานสักเท่าไหร ​่เรื่องอนาคตก็เช่นเดียวกัน​เราจะมีแต่ห่วง​กังวล ​หรือ​คิดวางแผนเพื่อจะได้ความสุขในอนาคต​ ซึ่งมีแต่จะทำให้จิตใจแส่ส่ายไป​ไม่ได้ทำให้จิตใจมั่นคง​ 
          การสร้างความสุขในปัจจุบัน​เป็นสิ่งที่เราควรใส่ใจ​ และเป็นสิ่งที่จะทำให้จิตใจเรามีความหนักแน่นมั่นคงได้ แต่ว่าความสุขในปัจจุบันนั้นก็ต้องเป็นความสุขที่ไม่มีโทษ ต้องเป็นความสุขที่เกิดจากคุณธรรม เกิดจากคุณงามความดี จึงจะเป็นความสุขที่จะเป็นประโยชน์กับเราอย่างมาก​และความสุขท่เีกิดจากคุณธรรมอย่างเมตตาธรรม​เป็นความสุขที่จะทำให้ตัวเราเองมีความสุข​ และจะทำให้เราอยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์อย่างสุขสบาย​ คือ​เรารู้จักที่จะทำประโยชน์แก่ตนเอง​และรู้จักทำประโยชน์ต่อผู้อื่น​ นี่ถือว่าเป็นหลักธรรมชาติ​และเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงเน้นสอน​ ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้ายกตัวอย่าง​ที่ค่อนข้างจะรุนแรงว่า​คนที่ไม่รู้จักทำประโยชน์ตน​ไม่รู้จักทำประโยชน์ผู้อื่น​ เปรียบเหมือนกับฟืนที่ใช้ในการเผาศพ​ซึ่งในอินเดียถือว่าเป็นของอัปมงคล​เป็นของแสลง​ของไม่ด​ี แค่นั้นยังไม่พอ​ท่านยังบอกว่า​เหมือนฟืนที่ใช้ใน การเผาศพ​แถมยังเปื้อนขี้ด้วย​รุนแรงชัดเจนมาก​ 
          เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงชัดเจนว่า​เราต้องพยายามทำชีวิตให้มีประโยชน์ต่อตนเองและมีประโยชน์ต่อผู้อื่น​จึงเป็นเรื่องที่เราต้องคิดในลักษณะว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นเช่นนั้นได้​ พื้นฐานอยู่ที่เมตตาธรรม​เราต้องรู้จักสร้างเมตตาธรรมให้เกิดขึ้น​ มีความหวังดี​ มีความเอื้อเฟื้อ ​และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเมตตาต่อตนเองจะต้องมั่นคงเสียก่อน​ เมื่อเริ่มนั่งสมาธ​ิเราสูดลมหายใจเข้าก็ให้เหมือนกับเรานำเมตตาธรรมเข้าสู่จิตใจและร่างกายของเรา​ลมหายใจออก ก็เหมือนกับเราแผ่เมตตาธรรมไปอยู่รอบตัวเรา​เป็นการใช้จินตนาการช่วยให้จิตใจอ่อนโยนและเบิกบาน​ได้สละสิ่งที่เศร้าหมอง​เพราะเมตตาธรรมเป็นเจตนาที่ดี​เป็นจิตใจที่เบิกบาน​กาำลังของความหวังดีและความเอื้อเฟื้อที่ได้เกิดขึ้นมีประโยชน์มาก​กายก็ดี​ใจก็ดีจะอ่อนโยน 
          การดูลมหายใจเข้าลมหายใจออกนี้​ในขณะที่จิตใจเริ่มจะสงบเพียงพอ​ หรือเริ่มที่จะเย็นลง​เราต้องอาศัยสติยกจิตเข้าสู่การสัมผัสของลม​ ไม่ใช่ว่าจะต้องวิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์หรือคิดอะไรมากนัก​เพียงแต่สังเกตว่า​ลมหายใจเข้ามีความรู้สึกอย่างไร ​ลมหายใจออกมันสัมผัสอย่างไร​ มันยาวหรือสั้น​หยาบหรือละเอียด​ตัวนี้เรียกว่า​ สัมปชัญญะ​ การรู้ตัวทั่วพร้อม​ซึ่งเป็นกำลังที่เราต้องอาศัยด้วย ​คือ​เราต้องมีทั้งสต​ิได้กำหนด​ได้ตั้งใจไว​้และต้องมีสัมปชัญญะ​ การรอบรู้ในอารมณ์นั้น​มันร​ู้ รู้ตัวทั่ว พร้อมในความรู้สึกลมเข้าลมออก​ 
          นอกจากนี้เรายังต้องอาศัยความเพียรพยายาม ​ คนชอบบ่นว่า​พยายามกำหนดลมหายใจเข้า   ลมหายใจออก​ เดี๋ยวก็มีความคิดแทรกเข้ามา เดี๋ยวก็มีความฟุ้งซ่านเกิดขึ้น จิตใจลอยออกไปนี่ ลอยออกไปโน่น มันก็ไม่เป็นไร มันก็เรื่องธรรมดา​เราก็ต้องตั้งจิตตั้งใจใหม่​  อันนี้เป็นหน้าที่ของวิริยะความพากเพียรพยายาม​คือ​จิตใจจะขาดสติครั้งหนึ่ง เราก็ตั้งสติขึ้นใหม่ ขาดสิบครั้งเราก็ยกสิตขึ้นใหม่ สิบครั้งขาดร้อยครั้งก็ยกขึ้นใหม่ร้อยครั้ง อย่างนี้ก็ไม่น่าเป็นห่วง มีสติสัมปะชัญญะ มีความพยายาม​เราก็ทำไป​ 
          เรื่องที่จิตขาดสติ​ลอยไปไหนๆ​ หรือมีความคิดแทรกเข้ามา​มันเป็นเรื่องธรรมดา    ​แต่ที่ไม่ธรรมดาสำหรับผู้ปฏิบัติ​ คือ ​การยอมต่อการปรุงแต่ง​ความฟุ้งซ่าน​ และความวุ่นวาย​อันนี้จะเป็นเหตุ​เหมือนกับประโยคซึ่งมีความหมายมากที่อาตมาเคยอ่าน ​คือ​ คนไม่จมน้ำตาย เพราะเขาตกลงไปในน้ำ เขาน้ำตายเพราะเขาไม่ลุกขึ้น ​คือ​เขาไม่ลุกออกจากน้ำเขาตกไปในน้ำแล้วก็อยู่ในนั้นแหละ​ อย่างนี้มันจึงจมน้ำตาย​การตกลงไปในน้ำยังถือว่าธรรมดา บางทีเราเอาเด็กเล็กที่ยังเดินไม่ได้ลงไปในน้ำ​ เด็กก็ไม่จมแต่จะลอยขึ้นมา​มันเป็นธรรมชาต​ิ แต่มนุษย์เราบางทีคิดมาก​ตกน้ำก็จมไปอยใู่นน้ำเลย​ มันไม่คิดที่จะขึ้น ก็เหมือนกับเรานั่งดูลมหายแล้วเกิดความคิดขึ้นมา​ เราก็เสียดายไม่อยากหยุดคิด​แล้วก็ว่าวันนี้ภาวนาไม่ออก​ก็มันหาเรื่องใส่เจ้าของ​มันก็เลยไม่สงบสักที​  จึงเป็นเรื่องที่ว่า​เราต้องมีความพยายามยกจิตให้ออกจากนิวรณ์ที่ครอบงำ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความสงบ​ 
          ที่อาตมากล่าวมานี้​ พระพุทธเจ้าสอนไว้ในสติปัฏฐานสูตร​ เมื่อท่านสอนเรื่อง สติปัฏฐาน ​คือ​ ฐานที่ตั้งของสต ​ิท่านยืนยันว่า ​ผู้ที่ได้ทำสติปัฏฐาน​๔​ ให​้บริบูรณ​์ ย่อมเข้าสู่กระแสของธรรมได​้อย่างเร็วก็ ๗ ​วัน​อย่างช้าก​็ ๗ ​ป​ี ท่านสอนให้ตั้งสต​ิในลักษณะ​ ๔ ​ประการ ซึ่งต้องอาศัย​ อาตาปี ความเพียรเครื่องเผากิเลส​คือต้องมีความอุตสาหะพยายาม​ มีความตั้งใจ​เพราะความเพียรพยายามเป็นสิ่งที่เผากิเลสได้​ จิตของเรามันแส่ออกไปครั้งหนึ่ง​เราก็ยกมาสู่กรรมฐานใหม่​ออก ​๑๐ ​ครั้ง​เราก็ยกขึ้นมา ​๑๐ ​ครั้ง​ออก​ ๑๐๐​ ครั้ง​เราก็ยกขึ้นมา​ ๑๐๐ ​ครั้ง​ นี่เป็นความเพียร​เมื่อเรามีความขยันอย่างต่อเนื่อง​กิเลสมันก็จะยอม​มันก็เป็นธรรมชาติของมัน​           
          อานาปี  สัมปะชาโน  สติมา  วิเนยยะ โลเก  อะภิชฌาโทมะนัสสัง 
   ตามที่พระพุทธเจ้าสอน​อาตาป​ีมีความเพียร​​สัมปะชาโน หรือ​สัมปชัญญะ​มีความรู้ตัวทั่วพร้อม​ดังที่อาตมาได้กล่างถึงแล้ว  ​หลวงพ่อชาท่านได้แยกสติกับสัมปชัญญะ​ว่า​ 
          สต​ิ คือ ​เรายกความรู้สึกของลมหายใจเข้าลมหายใจออกขึ้นมา​ 
          ส่วนสัมปชัญญะ  ก็จะทำหน้าที่เฝ้าสังเกตด​ูคอยพิจารณาด​ูคอยให้ความสนใจ 
          บางทีสัมปชัญญะมันจะเบื่อบ้าง​เมื่อจิตไปคิดเรื่องอื่น​สติก็ต้องยกขึ้นมาใหม่​ สัมปชัญญะก็จะเกิดขึ้นใหม่​มันควบคู่กันไป​อย่างนี้ก็จะทำให้จิตมีกำลัง ​เพราะในเวลาที่เรามีสติกับสัมปชัญญะต่อเนื่อง​นิวรณ์ที่จะทำให้จิตใจเราเศร้าหมองก็จะแทรกเข้ามาไม่ได้​มันไม่มีที่จะเกิด​ 

(มีต่อ)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น