พวกเรามารวมกันเพื่อนั่งสมาธิภาวนา การฝึกสมาธิก็มีวิธีการมากมายหลายรูปแบบ เมื่อวานได้อธิบายอานาปานสติเป็นหลักซึ่งวันนี้เราก็จะใช้หลักเดียวกัน เราจะนั่งขัดสมาธินั่งพับเพียบหรือนั่งเก้าอี้ก็ได้ ที่สำคัญขอให้นั่งหลังตรงร่างกายที่เที่ยงตรงจะทำให้จิตใจเที่ยงตรงเช่นกันให้จิตใจของเราระลึกว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เพราะบางครั้งเรานั่งลงโดยที่ยังไม่ทันได้ตั้งใจไว้ให้ดี หรือบางทีแค่นั่งลงแล้วก็รอความสงบให้เข้ามาหาเรา ถ้าเป็นอย่างนั้นบางทีความสงบมันจะไปหาผู้อื่นเสียมากกว่า ฉะนั้นเราจึงต้องเป็นผู้ที่ตั้งอกตั้งใจว่า เราจะแสวงหาความสงบให้จิตใจของเรา
เมื่อเริ่มนั่งก็ต้องทำการยกจิตของเราขึ้นมาในลักษณะตั้งเจตนาว่า เราปรารถนาความสุขความสงบให้กับตัวเองดังที่เราสวดว่า อะหัง สุขิโต โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ถึงความสุขเป็นเจตนาที่เราควรจะทำาให้ชัดเจนสร้างความรู้สึกให้ตัวเองว่า เราสมควรที่จะได้สัมผัสความสุขและความสงบเพราะว่าบางครั้งจิตใจของมนุษย์เรา อยากจะมีความสงบ อยากจะมีความเบิกบาน อยากจะมีความปลอดโปร่ง แต่บางทีในส่วนลึกๆของจิตใจนั้นก็ยังไม่กล้าคิดว่า ตัวเองเหมะที่จะเป็นเช่นนั้น เพียงแค่นี้มันก็เป็นอุปสรรคขัดขวางแล้ว ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะเริ่มการภาวนาด้วยการตั้งเจตนาให้ชัดเจนว่า ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ถึงความสุข ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ถึงความสงบ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ที่มีความเบิกบานแจ่มใส และเมื่อเราได้แผ่เมตตาให้ตัวเองอย่างชัดเจนมันจะรู้สึกซาบซ่านไปทั่วร่างกายและจิตใจของเรา
แล้วเราก็ทำความรู้สึกนั้นให้แผ่ออกไป แท้ที่จริงจะว่าแผ่ออกไปก็ไม่ถูกสักเท่าไร คือทำจิตใจของเราให้กว้างขวางขึ้นเป็นเหมือนกับเราสร้างภาชนะสำหรับตัวเอง เพื่อจะรับความสุขทำจิตใจของเราให้เข้าถึงความสุขให้เราเป็นผู้ที่ถึงความสงบ ให้เราเป็นผู้ที่ถึงความปลอดโปร่ง ให้เราทำฐานอันนี้ให้มั่นคงยิ่งขึ้น แล้วทำให้มันกว้างขวางต่อๆไป เพื่อขอให้ผู้ที่ใกล้ชิดเราและผู้ที่เรามีความเคารพรักให้เขามีความสุขคือ จะเป็นบิดามารดาหรือเป็นญาติมิตรที่ใกล้ชิดเราก็ขอให้เขามีความสุข
คำศัพท์ว่า แผ่เมตตา ก็เหมือนกับเราส่งเมตตาไปให้พ่อให้แม่ให้พี่ให้น้อง ให้คนที่เรารักเหมือนเป็นบุรุษไปรษณีย์ต้องเอาของไปส่งที่นั่นที่นี่ หากจิตใจของเราเหมือนฐานที่ขาดความหนักแน่นเดี๋ยวคิดเรื่องนี้เดี๋ยวคิดเรื่องโน้นมันจะเหนื่อย แต่ถ้าเราทำฐานในจิตใจให้หนักแน่นทำให้จิตใจของเราเกิดความรู้สึกอิ่มเอิบอบอุ่นเบิกบาน แล้วก็ทำจิตใจของเราให้กว้างใหญ่ขึ้นพอที่จะชวนคนที่เรารักให้เข้ามาร่วมรับ ความสุขความสบายในจิตใจของเราได้
และก็เช่นเดียวกันเราก็ทำจิตใจของเราให้กว้างขวางไพศาลยิ่งขึ้นไปสู่ผู้ที่เป็นกลางๆและแม้กระทั่งคนที่เราไม่ชอบ เพราะตามความเป็นจริงแล้วคนเหล่านั้นและทุกๆชีวิตก็ล้วนต้องการความสุขด้วยกันทั้งนั้น เราจึงควรทำฐานเอาไว้ให้หนักแน่นมั่นคง แต่ที่สำคัญคือ ความหวังดีต่อตัวเอง เมตตาแปลว่า หวังดีบางคนก็คิดว่า เราจะแผ่เมตตาให้คนที่เราไม่ชอบขี้หน้าได้อย่างไรหากลักษณะของเมตานั้นไม่ใช่ว่าเราจะต้องยอมคนอื่น หรือแม้แต่จะต้องชอบเขา แต่เราสามารถที่จะหวังดีต่อเขาได้ สามารถที่จะเอื้ออารี และตั้งความปรารถนาให้เขามีความสุข เพราะคนที่มีความสุขที่ถูกต้อง เขาน่าจะเป็นคนดีขึ้น มันก็เป็นเรื่องง่ายๆที่เราไม่ต้องคิดมา ไม่ต้องขี้เหนียว เมตตาของเรายิ่งให้ยิ่งดี เรายิ่งไม่ขาดยิ่งให้ยิ่งได้นะ นี่เป็นลักษณะของการสร้างคุณธรรม
เมื่อเราได้ตั้งเมตตาจิตไว้ คือ เรามีความหวังดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อตัวเอง ตัวนี้จะเป็นฐานรองรับและเมื่อฐานนี้ยิ่งแข็งแรงจิตใจของเราก็จะยิ่งมั่นคง เพราะลักษณะของจิตที่มีเมตตาเป็นจิตที่เบิกบานเวลาที่จิตใจของเราเบิกบานเราทำอะไร เราก็จะมีความสุขเมื่อมีความสุขจิตใจก็จะมั่นคง มันเป็นลักษณะธรรมชาติที่ไม่มีอะไรแปลกประหลาด หรือวิเศษจนเกินไปเป็นเรื่องของธรรมชาติ เมื่อเรามีจิตใจที่เมตตาเอื้ออารีเราจะเข้าใจว่าเราจะสร้างความสุขได้ที่ไหนอย่างไร ลองคิดดูว่านักปฏิบัตินักกรรมฐานจะนั่งสมาธิหาความสุขได้ตรงไหน เราจะแสวงหาความสุขจากอดีตไหมย่อมไม่ได้ เพราะมันผ่านไปแล้วถ้าเราเอาของเก่ามาคิดว่าเคยมีความสุขอย่างนี้อย่างนั้น มันก็จะกลายเป็นความอาลัยกังวลต่ออดีตอารมณ์แล้วมันก็ไม่ได้ทำให้จิตใจเบิกบานสักเท่าไหร ่เรื่องอนาคตก็เช่นเดียวกันเราจะมีแต่ห่วงกังวล หรือคิดวางแผนเพื่อจะได้ความสุขในอนาคต ซึ่งมีแต่จะทำให้จิตใจแส่ส่ายไปไม่ได้ทำให้จิตใจมั่นคง
การสร้างความสุขในปัจจุบันเป็นสิ่งที่เราควรใส่ใจ และเป็นสิ่งที่จะทำให้จิตใจเรามีความหนักแน่นมั่นคงได้ แต่ว่าความสุขในปัจจุบันนั้นก็ต้องเป็นความสุขที่ไม่มีโทษ ต้องเป็นความสุขที่เกิดจากคุณธรรม เกิดจากคุณงามความดี จึงจะเป็นความสุขที่จะเป็นประโยชน์กับเราอย่างมากและความสุขท่เีกิดจากคุณธรรมอย่างเมตตาธรรมเป็นความสุขที่จะทำให้ตัวเราเองมีความสุข และจะทำให้เราอยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์อย่างสุขสบาย คือเรารู้จักที่จะทำประโยชน์แก่ตนเองและรู้จักทำประโยชน์ต่อผู้อื่น นี่ถือว่าเป็นหลักธรรมชาติและเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงเน้นสอน ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้ายกตัวอย่างที่ค่อนข้างจะรุนแรงว่าคนที่ไม่รู้จักทำประโยชน์ตนไม่รู้จักทำประโยชน์ผู้อื่น เปรียบเหมือนกับฟืนที่ใช้ในการเผาศพซึ่งในอินเดียถือว่าเป็นของอัปมงคลเป็นของแสลงของไม่ดี แค่นั้นยังไม่พอท่านยังบอกว่าเหมือนฟืนที่ใช้ใน การเผาศพแถมยังเปื้อนขี้ด้วยรุนแรงชัดเจนมาก
เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงชัดเจนว่าเราต้องพยายามทำชีวิตให้มีประโยชน์ต่อตนเองและมีประโยชน์ต่อผู้อื่นจึงเป็นเรื่องที่เราต้องคิดในลักษณะว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นเช่นนั้นได้ พื้นฐานอยู่ที่เมตตาธรรมเราต้องรู้จักสร้างเมตตาธรรมให้เกิดขึ้น มีความหวังดี มีความเอื้อเฟื้อ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเมตตาต่อตนเองจะต้องมั่นคงเสียก่อน เมื่อเริ่มนั่งสมาธิเราสูดลมหายใจเข้าก็ให้เหมือนกับเรานำเมตตาธรรมเข้าสู่จิตใจและร่างกายของเราลมหายใจออก ก็เหมือนกับเราแผ่เมตตาธรรมไปอยู่รอบตัวเราเป็นการใช้จินตนาการช่วยให้จิตใจอ่อนโยนและเบิกบานได้สละสิ่งที่เศร้าหมองเพราะเมตตาธรรมเป็นเจตนาที่ดีเป็นจิตใจที่เบิกบานกาำลังของความหวังดีและความเอื้อเฟื้อที่ได้เกิดขึ้นมีประโยชน์มากกายก็ดีใจก็ดีจะอ่อนโยน
การดูลมหายใจเข้าลมหายใจออกนี้ในขณะที่จิตใจเริ่มจะสงบเพียงพอ หรือเริ่มที่จะเย็นลงเราต้องอาศัยสติยกจิตเข้าสู่การสัมผัสของลม ไม่ใช่ว่าจะต้องวิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์หรือคิดอะไรมากนักเพียงแต่สังเกตว่าลมหายใจเข้ามีความรู้สึกอย่างไร ลมหายใจออกมันสัมผัสอย่างไร มันยาวหรือสั้นหยาบหรือละเอียดตัวนี้เรียกว่า สัมปชัญญะ การรู้ตัวทั่วพร้อมซึ่งเป็นกำลังที่เราต้องอาศัยด้วย คือเราต้องมีทั้งสติได้กำหนดได้ตั้งใจไว้และต้องมีสัมปชัญญะ การรอบรู้ในอารมณ์นั้นมันรู้ รู้ตัวทั่ว พร้อมในความรู้สึกลมเข้าลมออก
นอกจากนี้เรายังต้องอาศัยความเพียรพยายาม คนชอบบ่นว่าพยายามกำหนดลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เดี๋ยวก็มีความคิดแทรกเข้ามา เดี๋ยวก็มีความฟุ้งซ่านเกิดขึ้น จิตใจลอยออกไปนี่ ลอยออกไปโน่น มันก็ไม่เป็นไร มันก็เรื่องธรรมดาเราก็ต้องตั้งจิตตั้งใจใหม่ อันนี้เป็นหน้าที่ของวิริยะความพากเพียรพยายามคือจิตใจจะขาดสติครั้งหนึ่ง เราก็ตั้งสติขึ้นใหม่ ขาดสิบครั้งเราก็ยกสิตขึ้นใหม่ สิบครั้งขาดร้อยครั้งก็ยกขึ้นใหม่ร้อยครั้ง อย่างนี้ก็ไม่น่าเป็นห่วง มีสติสัมปะชัญญะ มีความพยายามเราก็ทำไป
เรื่องที่จิตขาดสติลอยไปไหนๆ หรือมีความคิดแทรกเข้ามามันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาสำหรับผู้ปฏิบัติ คือ การยอมต่อการปรุงแต่งความฟุ้งซ่าน และความวุ่นวายอันนี้จะเป็นเหตุเหมือนกับประโยคซึ่งมีความหมายมากที่อาตมาเคยอ่าน คือ คนไม่จมน้ำตาย เพราะเขาตกลงไปในน้ำ เขาน้ำตายเพราะเขาไม่ลุกขึ้น คือเขาไม่ลุกออกจากน้ำเขาตกไปในน้ำแล้วก็อยู่ในนั้นแหละ อย่างนี้มันจึงจมน้ำตายการตกลงไปในน้ำยังถือว่าธรรมดา บางทีเราเอาเด็กเล็กที่ยังเดินไม่ได้ลงไปในน้ำ เด็กก็ไม่จมแต่จะลอยขึ้นมามันเป็นธรรมชาติ แต่มนุษย์เราบางทีคิดมากตกน้ำก็จมไปอยใู่นน้ำเลย มันไม่คิดที่จะขึ้น ก็เหมือนกับเรานั่งดูลมหายแล้วเกิดความคิดขึ้นมา เราก็เสียดายไม่อยากหยุดคิดแล้วก็ว่าวันนี้ภาวนาไม่ออกก็มันหาเรื่องใส่เจ้าของมันก็เลยไม่สงบสักที จึงเป็นเรื่องที่ว่าเราต้องมีความพยายามยกจิตให้ออกจากนิวรณ์ที่ครอบงำ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความสงบ
ที่อาตมากล่าวมานี้ พระพุทธเจ้าสอนไว้ในสติปัฏฐานสูตร เมื่อท่านสอนเรื่อง สติปัฏฐาน คือ ฐานที่ตั้งของสต ิท่านยืนยันว่า ผู้ที่ได้ทำสติปัฏฐาน๔ ให้บริบูรณ์ ย่อมเข้าสู่กระแสของธรรมได้อย่างเร็วก็ ๗ วันอย่างช้าก็ ๗ ปี ท่านสอนให้ตั้งสติในลักษณะ ๔ ประการ ซึ่งต้องอาศัย อาตาปี ความเพียรเครื่องเผากิเลสคือต้องมีความอุตสาหะพยายาม มีความตั้งใจเพราะความเพียรพยายามเป็นสิ่งที่เผากิเลสได้ จิตของเรามันแส่ออกไปครั้งหนึ่งเราก็ยกมาสู่กรรมฐานใหม่ออก ๑๐ ครั้งเราก็ยกขึ้นมา ๑๐ ครั้งออก ๑๐๐ ครั้งเราก็ยกขึ้นมา ๑๐๐ ครั้ง นี่เป็นความเพียรเมื่อเรามีความขยันอย่างต่อเนื่องกิเลสมันก็จะยอมมันก็เป็นธรรมชาติของมัน
อานาปี สัมปะชาโน สติมา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง
ตามที่พระพุทธเจ้าสอนอาตาปีมีความเพียรสัมปะชาโน หรือสัมปชัญญะมีความรู้ตัวทั่วพร้อมดังที่อาตมาได้กล่างถึงแล้ว หลวงพ่อชาท่านได้แยกสติกับสัมปชัญญะว่า
สติ คือ เรายกความรู้สึกของลมหายใจเข้าลมหายใจออกขึ้นมา
ส่วนสัมปชัญญะ ก็จะทำหน้าที่เฝ้าสังเกตดูคอยพิจารณาดูคอยให้ความสนใจ
บางทีสัมปชัญญะมันจะเบื่อบ้างเมื่อจิตไปคิดเรื่องอื่นสติก็ต้องยกขึ้นมาใหม่ สัมปชัญญะก็จะเกิดขึ้นใหม่มันควบคู่กันไปอย่างนี้ก็จะทำให้จิตมีกำลัง เพราะในเวลาที่เรามีสติกับสัมปชัญญะต่อเนื่องนิวรณ์ที่จะทำให้จิตใจเราเศร้าหมองก็จะแทรกเข้ามาไม่ได้มันไม่มีที่จะเกิด
(มีต่อ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น