วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ถามตอบปัญหาธรรมะ

ถาม​ เรื่องโทสะ​เราควรจะทำอย่างไร เมื่อโมโหหรือหงุดหงิดใส่คนใกล้ตัว ​เช่น​ บิดามารดาที่หลงลืมหรือทำอะไรผิดพลาดเพราะความหลงลืม ​หรือบางทีท่านขี้บ่น​ทำอะไรช้า​  บาปหรือไม​่ควรแก้อย่างไร 

ตอบ​ มันเป็นเรื่องต้องระมัดระวัง​ เพราะเรากำลังสร้างเหต​ุ เมื่อเราอายุมากขึ้นแล้ว​ลูกหลานของเราจะปฏิบัติต่อเราอย่างไร​ อย่างไรก็ตาม​โทสะมันเป็นของไม่ด​ี แล้วก็ไม่มีอะไรดีๆ​เกิดขึ้นจากโทสะ​ไม่มีอะไรดีๆ​เกิดขึ้นจากความหงุดหงิด ​เมื่อเราพูดตามทำตามความหงุดหงิดรำคาญ​การพูด การทำนั้นย่อมเป็นอกุศล​จิตเป็นอกุศล​ ผลที่ปรากฎก็ย่อมเป็นอกุศล​จึงเป็นเรื่องที่เราต้องพยายามขัดเกลา​และหาอุบายที่จะ ได้ไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์​ เราอยากให้คนแก่ทำอะไรรวดเร็ว​มันก็ยาก​ แต่มันก็ไม่แน่เหมือนกัน​ อย่างแม่ของอาตมาเอง​อายุก็ย่าง​ ๙๐​ แล้ว ​เวลาแม่เดินกับอาตมา​ แม่จะรำคาญที่อาตมาเดินช้า ในการฝึกให้เราลดโทสะ​เราต้องพยายามที่จะเล็งเห็นโทษที่เกิดขึ้น​ เกิดโทษ​  เกิดพิษ​เกิดภัย​  ทั้งทำให้คนอื่นไม่สบายใจ​ ทั้งตัวเราเองก็ไม่ใช่ว่ามันจะทำให้จิตใจเราเบิกบาน ​เกิดโทสะเมื่อใด​เกิดความหงุดหงิดเมื่อใด​จิตใจก็ขุ่นมัวไม่งดงาม​ อุบายที่จะลดโทสะที่พระพุทธเจ้าสอนไว้วิธีหนึ่ง คือ​ ท่านให้เรายกอารมณ์ที่ดีขึ้นมาสู่จิตใจเพื่อทดแทนอารมณ์อกุศล​ เช่น ​เมตตาจิต ​คือ ​ให้เราพยายามที่จะสนับสนุนส่งเสริมจิตให้มีเมตาเอื้ออารี หวังดีต่อตัวเอง หวังดีต่อผู้อื่น แต่ต้องสารภาพว่า สำหรับอาตมาเอง วิธีนี้ก็ไม่เห็นจะได้ผล มันก็ดีอยู่แต่ความรู้สึกของเรามันจะมีความโลเล ว่านั่นเราเพียงแต่พูดแต่ใจมันไม่เป็นอย่างนั้น แล้วมันจะบาปหรือไม่ แต่เราก็ควรฝึกเอาไว้ ​ วิธีที่รู้สึกว่าได้ผลสำหรับอาตมาเอง​ คือ การพิจารณาให้เห็นโทษที่เกิดขึ้น​ เห็นความบกพร่องของตัวเอง ​เห็นผลไม่ดีที่อาจเกิดขึ้น​และกำลังจะเกิดขึ้น​  นอกจากนี้เราควรพยายามที่จะสังเกตดูว่า​ สาเหตุของโทสะนั้นมีอะไร ​มันเกิดขึ้นเพราะอะไร​ เรามักจะมีโทสะเมื่อเรามีทิฏฐิความเห็นอย่างหนึ่งว่า​ เขาควรจะเป็นอย่างนี้​ เมื่อเขาไม่เป็น​เราก็จะเกิดความไม่พอใจ​หรือสถานการณ์มันเป็นอย่างน​ี้ แต่เรามีทิฏฐิความเห็นว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้น ​มันไม่เป็นไปตามที่เราคิดหรืออยากได้​ มันจึงทำให้เราเกิดความไม่พอใจ​  การแบกทิฏฐิความเห็นไว้น​ี้เป็นอุบายที่ดีที่สุดที่จะทำให้ตัวเองเกิดความทุกข์​  ฉะนั้น​ ให้เราพยายามที่จะละมันเสียตรงนี้​เพราะ มันมีแต่ทำให้เราเกิดความไม่พอใจ​เกิดโทสะขึ้นมา​นี่เป็นแง่ที่เราควรสังเกต หลวงพ่อชาเคยแนะวิธีละโทสะวิธีหนึ่ง  ​มีคนถามหลวงพ่อที่ประเทศอังกฤษว่า​ จะละโทสะได้อย่างไร หลวงพ่อท่านก็ว่า เรื่องนี้ไม่ยาก ครั้งต่อไปที่เกิดโทสะให้รีบไปเอานาฬิกาปลุกมาตั้งเวลาไว้สัก​ ๒ ​ชั่วโมง  ​แล้วอธิษฐานว่า  ​ข้าพเจ้าจะรักษาอารมณ์โทสะไว้ให้ได้​ ๒ ​ชั่วโมง ​แล้วคอยดูว่าจะทำได้ไหม​  ในที่สุดเราก็ต้องคิดเรื่องอื่น​แม้ ในขณะที่เรามีโทสะสุดขีด​มันก็จะยังมีความคิดเรื่องอื่นแทรกเข้ามา​อารมณ์มันจะเปลี่ยน  ​หลวงพ่อจึงว่า​นี่เป็นการแสดงชัดเจนว่า​อารมณ์โทสะไม่ได้เป็นของเรา​มันเป็นอนัตตา​ เราต้องยอมรับอนัตตาให้ได้​ยอมรับความเป็นจริง​ แล้วก็ไม่ใส่ใจกับอารมณ์นั้น​  ในเมื่อมันไม่ได้เป็นของเรา ​เราจะหวงแหนไว้ทำไม  ​แล้วเราจะรื้อฟื้นมันขึ้นมาทำไม​เมื่อมันเป็นอนัตตา​เราก็ทิ้งเสียดีกว่า ถาม การุณยฆาต​ คือ ถ้าเรามีพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ที่เจ็บป่วย​ต้องอยู่ในห้องไอซียู​  และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอด​ ไม่สามารถฟื้นขึ้นมาตามปกติได้​  ถ้าเราตัดสินใจถอดเครื่องช่วยหายใจ​ก็จะเสียชีวิต​แบบนี้ถือว่าเป็นบาปหรือไม่ ตอบ​ ถ้าต้องอยู่ในห้องไอซียูที่โรงพยาบาล​ และแพทย์ได้ทำการรักษาสุดฝีมือแล้ว ​ เพียงแค่ประคับประคองชีวิต​โดยอาศัยเครื่องต่างๆ​ การที่จะตัดสินใจถอดเครื่องประทังชีวิต​และจะทำให้เสียชีวิต​ การกระทำนี้ไม่ใช่บาป​  พระวินัยสำหรับพระมีความละเอียดมาก​ พระจึงต้องศึกษาพระวินัยให้ด​ี เพราะถ้าหากพระได้กระทำเองหรือได้แนะนำคนอื่นให้ตัดชีวิตของมนุษย​์  ก็ถือเป็นปาราชิก​ ต้องขาดจากการเป็นพระ​ ในส่วนนี้เราต้องดูลักษณะธรรมชาต​ิ ถ้าได้เร่งธรรมชาติเพื่อให้เสียชีวิตโดยการให้ยาก็ด​ี หรือให้อาวุธก็ดี  ​อย่างนี้​เท่ากับมีส่วนร่วมในการฆ่าและเป็นบาป​แต่หากตามลักษณะธรรมชาติจะต้องเสียชีวิตแน่ๆอยู่แล้ว​  มันก็ไม่ได้เป็นการฆ่า  ​ปัจจุบันนี้วิวัฒนาการของวิทยาศาสตร์  และความสามารถของแพทย์  ​โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงพยาบาล​จะมีความสามารถที่จะต่อชีวิตไว้ แต่เป็นชีวิตแบบไม่รับรู้อะไรแล้ว อย่างนี้มันก็เป็นเหมิอนกับซากศพที่หายใจเข้าหายใจออกด้วยเครื่องช่วยหายใจ​  อย่างนี้ก็ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่น่าสนับสนุน  ที่วัดอภัยครีพระสงฆ์จะทำเอกสารระบุไว้ชัดเจนว่า ถ้าหากเกิดอุบัติเหตุหรือป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล​  แล้วต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจก็ดี หรืออาศัยสิ่งที่ต่อชีวิตโดยผิดแผกจากธรรมชาติก็ดี  เราจะปฏิเสธที่จะรับการรักษาจากแพทย์  ​โดยทำเป็นเอกสารทางกฎหมาย​เพราะว่าบางทีที่รงพยาบาล​โดยเฉพาะในอเมริกา ​แพทย์ย่อมมีความสามารถในการรักษาต่อชีวิต  ถ้าหากแพทย์ไม่ทำการรักษาก็อาจจะถูกฟ้อง  ดังนั้น จึงเป็นส่วนที่เราต้องมีเอกสารป้องกันไม่ให้ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น  อย่างไรก็ตาม​ไม่ว่าจะเป็นคน​หรือแม้แต่จะเป็นสุนัขเป็นแมวก็ด  ​ีถ้าหากว่ายังมีชีวิตอย​ู่เราก็มีหน้าที่ที่จะดูแลรักษา​ เรามีหน้าที่ที่จะเอาใจใส​่พยายามให้มีความสะดวกสบายเท่าที่จะทำได​้   มีการประคับประคองเพื่อบรรเทาความทุกข์ให้มากที่สุด​ อันนี้เป็นหน้าที่ของเรา​แต่เราไม่มีหน้าที่ที่จะต่อชีวิต​ ถ้าหากว่าธรรมชาติไม่เกื้อกูล​ หลักตัดสินอยู่ตรงนี้เอง

พระอาจารย์ปสันโน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น