ถาม เรื่องโทสะเราควรจะทำอย่างไร เมื่อโมโหหรือหงุดหงิดใส่คนใกล้ตัว เช่น บิดามารดาที่หลงลืมหรือทำอะไรผิดพลาดเพราะความหลงลืม หรือบางทีท่านขี้บ่นทำอะไรช้า บาปหรือไม่ควรแก้อย่างไร
ตอบ มันเป็นเรื่องต้องระมัดระวัง เพราะเรากำลังสร้างเหตุ เมื่อเราอายุมากขึ้นแล้วลูกหลานของเราจะปฏิบัติต่อเราอย่างไร อย่างไรก็ตามโทสะมันเป็นของไม่ดี แล้วก็ไม่มีอะไรดีๆเกิดขึ้นจากโทสะไม่มีอะไรดีๆเกิดขึ้นจากความหงุดหงิด เมื่อเราพูดตามทำตามความหงุดหงิดรำคาญการพูด การทำนั้นย่อมเป็นอกุศลจิตเป็นอกุศล ผลที่ปรากฎก็ย่อมเป็นอกุศลจึงเป็นเรื่องที่เราต้องพยายามขัดเกลาและหาอุบายที่จะ ได้ไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ เราอยากให้คนแก่ทำอะไรรวดเร็วมันก็ยาก แต่มันก็ไม่แน่เหมือนกัน อย่างแม่ของอาตมาเองอายุก็ย่าง ๙๐ แล้ว เวลาแม่เดินกับอาตมา แม่จะรำคาญที่อาตมาเดินช้า ในการฝึกให้เราลดโทสะเราต้องพยายามที่จะเล็งเห็นโทษที่เกิดขึ้น เกิดโทษ เกิดพิษเกิดภัย ทั้งทำให้คนอื่นไม่สบายใจ ทั้งตัวเราเองก็ไม่ใช่ว่ามันจะทำให้จิตใจเราเบิกบาน เกิดโทสะเมื่อใดเกิดความหงุดหงิดเมื่อใดจิตใจก็ขุ่นมัวไม่งดงาม อุบายที่จะลดโทสะที่พระพุทธเจ้าสอนไว้วิธีหนึ่ง คือ ท่านให้เรายกอารมณ์ที่ดีขึ้นมาสู่จิตใจเพื่อทดแทนอารมณ์อกุศล เช่น เมตตาจิต คือ ให้เราพยายามที่จะสนับสนุนส่งเสริมจิตให้มีเมตาเอื้ออารี หวังดีต่อตัวเอง หวังดีต่อผู้อื่น แต่ต้องสารภาพว่า สำหรับอาตมาเอง วิธีนี้ก็ไม่เห็นจะได้ผล มันก็ดีอยู่แต่ความรู้สึกของเรามันจะมีความโลเล ว่านั่นเราเพียงแต่พูดแต่ใจมันไม่เป็นอย่างนั้น แล้วมันจะบาปหรือไม่ แต่เราก็ควรฝึกเอาไว้ วิธีที่รู้สึกว่าได้ผลสำหรับอาตมาเอง คือ การพิจารณาให้เห็นโทษที่เกิดขึ้น เห็นความบกพร่องของตัวเอง เห็นผลไม่ดีที่อาจเกิดขึ้นและกำลังจะเกิดขึ้น นอกจากนี้เราควรพยายามที่จะสังเกตดูว่า สาเหตุของโทสะนั้นมีอะไร มันเกิดขึ้นเพราะอะไร เรามักจะมีโทสะเมื่อเรามีทิฏฐิความเห็นอย่างหนึ่งว่า เขาควรจะเป็นอย่างนี้ เมื่อเขาไม่เป็นเราก็จะเกิดความไม่พอใจหรือสถานการณ์มันเป็นอย่างนี้ แต่เรามีทิฏฐิความเห็นว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้น มันไม่เป็นไปตามที่เราคิดหรืออยากได้ มันจึงทำให้เราเกิดความไม่พอใจ การแบกทิฏฐิความเห็นไว้นี้เป็นอุบายที่ดีที่สุดที่จะทำให้ตัวเองเกิดความทุกข์ ฉะนั้น ให้เราพยายามที่จะละมันเสียตรงนี้เพราะ มันมีแต่ทำให้เราเกิดความไม่พอใจเกิดโทสะขึ้นมานี่เป็นแง่ที่เราควรสังเกต หลวงพ่อชาเคยแนะวิธีละโทสะวิธีหนึ่ง มีคนถามหลวงพ่อที่ประเทศอังกฤษว่า จะละโทสะได้อย่างไร หลวงพ่อท่านก็ว่า เรื่องนี้ไม่ยาก ครั้งต่อไปที่เกิดโทสะให้รีบไปเอานาฬิกาปลุกมาตั้งเวลาไว้สัก ๒ ชั่วโมง แล้วอธิษฐานว่า ข้าพเจ้าจะรักษาอารมณ์โทสะไว้ให้ได้ ๒ ชั่วโมง แล้วคอยดูว่าจะทำได้ไหม ในที่สุดเราก็ต้องคิดเรื่องอื่นแม้ ในขณะที่เรามีโทสะสุดขีดมันก็จะยังมีความคิดเรื่องอื่นแทรกเข้ามาอารมณ์มันจะเปลี่ยน หลวงพ่อจึงว่านี่เป็นการแสดงชัดเจนว่าอารมณ์โทสะไม่ได้เป็นของเรามันเป็นอนัตตา เราต้องยอมรับอนัตตาให้ได้ยอมรับความเป็นจริง แล้วก็ไม่ใส่ใจกับอารมณ์นั้น ในเมื่อมันไม่ได้เป็นของเรา เราจะหวงแหนไว้ทำไม แล้วเราจะรื้อฟื้นมันขึ้นมาทำไมเมื่อมันเป็นอนัตตาเราก็ทิ้งเสียดีกว่า ถาม การุณยฆาต คือ ถ้าเรามีพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ที่เจ็บป่วยต้องอยู่ในห้องไอซียู และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอด ไม่สามารถฟื้นขึ้นมาตามปกติได้ ถ้าเราตัดสินใจถอดเครื่องช่วยหายใจก็จะเสียชีวิตแบบนี้ถือว่าเป็นบาปหรือไม่ ตอบ ถ้าต้องอยู่ในห้องไอซียูที่โรงพยาบาล และแพทย์ได้ทำการรักษาสุดฝีมือแล้ว เพียงแค่ประคับประคองชีวิตโดยอาศัยเครื่องต่างๆ การที่จะตัดสินใจถอดเครื่องประทังชีวิตและจะทำให้เสียชีวิต การกระทำนี้ไม่ใช่บาป พระวินัยสำหรับพระมีความละเอียดมาก พระจึงต้องศึกษาพระวินัยให้ดี เพราะถ้าหากพระได้กระทำเองหรือได้แนะนำคนอื่นให้ตัดชีวิตของมนุษย์ ก็ถือเป็นปาราชิก ต้องขาดจากการเป็นพระ ในส่วนนี้เราต้องดูลักษณะธรรมชาติ ถ้าได้เร่งธรรมชาติเพื่อให้เสียชีวิตโดยการให้ยาก็ดี หรือให้อาวุธก็ดี อย่างนี้เท่ากับมีส่วนร่วมในการฆ่าและเป็นบาปแต่หากตามลักษณะธรรมชาติจะต้องเสียชีวิตแน่ๆอยู่แล้ว มันก็ไม่ได้เป็นการฆ่า ปัจจุบันนี้วิวัฒนาการของวิทยาศาสตร์ และความสามารถของแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงพยาบาลจะมีความสามารถที่จะต่อชีวิตไว้ แต่เป็นชีวิตแบบไม่รับรู้อะไรแล้ว อย่างนี้มันก็เป็นเหมิอนกับซากศพที่หายใจเข้าหายใจออกด้วยเครื่องช่วยหายใจ อย่างนี้ก็ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่น่าสนับสนุน ที่วัดอภัยครีพระสงฆ์จะทำเอกสารระบุไว้ชัดเจนว่า ถ้าหากเกิดอุบัติเหตุหรือป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล แล้วต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจก็ดี หรืออาศัยสิ่งที่ต่อชีวิตโดยผิดแผกจากธรรมชาติก็ดี เราจะปฏิเสธที่จะรับการรักษาจากแพทย์ โดยทำเป็นเอกสารทางกฎหมายเพราะว่าบางทีที่รงพยาบาลโดยเฉพาะในอเมริกา แพทย์ย่อมมีความสามารถในการรักษาต่อชีวิต ถ้าหากแพทย์ไม่ทำการรักษาก็อาจจะถูกฟ้อง ดังนั้น จึงเป็นส่วนที่เราต้องมีเอกสารป้องกันไม่ให้ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นคนหรือแม้แต่จะเป็นสุนัขเป็นแมวก็ด ีถ้าหากว่ายังมีชีวิตอยู่เราก็มีหน้าที่ที่จะดูแลรักษา เรามีหน้าที่ที่จะเอาใจใส่พยายามให้มีความสะดวกสบายเท่าที่จะทำได้ มีการประคับประคองเพื่อบรรเทาความทุกข์ให้มากที่สุด อันนี้เป็นหน้าที่ของเราแต่เราไม่มีหน้าที่ที่จะต่อชีวิต ถ้าหากว่าธรรมชาติไม่เกื้อกูล หลักตัดสินอยู่ตรงนี้เอง
พระอาจารย์ปสันโน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น