ขออนุโมทนาญาติโยมที่ได้มาร่วมกันทำสมาธิฝึกตัวเองในธรรมะของพระพุทธเจ้า ในแง่หนึ่งเรามาปฏิบัติก็เพื่อทำให้ตัวเองมีความรู้ความเข้าใจให้ชัดเจนมากขึ้น การปฏิบัติทางพุทธศาสนาบางคนก็คิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆ บางคนก็ว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก บ้างก็ว่าเป็นเรื่องที่ศักดิ์สิทธิ์ความคิดของคนมันพิสดารนัก
หากเป้าหมายของพระพุทธเจ้านั้น ท่านมีความประสงค์จะให้เราเป็นคนที่รู้เรื่องตัวเองมากขึ้น หรือพูดง่ายๆจะได้หายโง่สักทีหนึ่ง มันไม่ใช่เรื่องมากหรือเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก แต่การสมาทานศีล๕ เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องอาศัยการที่เราได้ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ์เป็นการสร้างที่พึ่งให้ตนเอง เพราะโดยปกติมนุษย์อยู่อย่างไร้ที่พึ่ง หรือมีที่พึ่งแต่ไม่สมกับการเป็นที่พึ่งที่แท้จริง
พูดตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นศีล๕ ศีล๘ ศีล๑๐ หรือ ศีล๒๒๗ ก็ล้วนแต่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของศีล๕ เราอยู่อย่างไม่เบียดเบียนอยู่อย่างรับผิดชอบตัวเอง ตัวนี้เป็นสิ่งสำคัญเมื่อเราเป็นผู้รับผิดชอบตัวเองแล้ว พระพุทธเจ้าว่า ผลที่สมควรหรือผลที่พึงปรารถนาของการรักษาศีล คือ จะได้เป็นผู้อยู่อย่างไม่มีโทษและอยู่อย่างไม่เสียดาย ไม่เสียดายในสิ่งที่ได้กระทำ ไม่เสียดายในสิ่งที่ได้พูดหรือสิ่งที่ได้เกี่ยวข้อง กับโลกก็ไม่เสียดาย ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากเป็นความสุขอย่างหนึ่ง ซึ่งพระพุทธเจ้าเรียกเป็นภาษาบาลีว่า อนวัชชสุข คือ สุขเกิดจากความประพฤติไม่มีโทษ ไม่มีอะไรต้องเสียดาย
มันเป็นเรื่องที่เราควรที่จะพยายามยกขึ้นมาสู่จิตใจของเรา ทำอย่างไรเราจึงจะได้อยู่อย่างไม่มีโทษและไม่เสียดาย ถ้าสามารถอยู่อย่างนั้นชีวิตจะมีความหมายมาก แล้วอนวัชชสุขก็เป็นกำาลังอย่างหนึ่งในชีวิต พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้ากำลังในชีวิตของเราตั้งอยู่บนคุณธรรม เช่น เรามีกำลังของการไม่มีโทษเราก็จะอยู่อย่างไม่กลัว คือ ไม่กลัวและไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดๆ ไม่ว่าจะเรื่องอาชีพก็ดี ความเป็นอยู่ก็ดีการเกี่ยวข้องกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน หรือการอยู่ในสังคมก็ดี แล้วก็ไม่กลัวความตายและไม่กลัวชาติหน้าไม่ต้องห่วงกังวลว่า ภพหน้าจะไปอยู่ที่ไหนชาตินี้ก็ไม่ห่วงชาติหน้าก็ไม่ห่วง คือ อยู่อย่างไม่กลัวสิ่งใด
อาศัยการเป็นผู้มีศีลเป็นสิ่งสำคัญไม่ว่าจะทำอะไรเกี่ยวข้องกับใครจะไปไหน สถานที่ใดก็ไม่กลัวเพราะเมื่อเราสามารถอยู่อย่างมั่นใจในตัวเองจิตก็จะไม่หวั่นไหว จิตนี้เป็นจิตที่เหมาะกับการทำความสงบความสงบจะเกิดได้ง่าย
จึงจำเป็นที่เราต้องสนใจที่จะฝึกตนให้อยู่อย่างมีความสุขที่ถูกต้อง และพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ห้ามให้เรามีความสุขที่บางคนคิดว่าการปฏิบัติในพุทธศาสนาน่าอึดอัดและลำบากนั้น จริงๆแล้วยิ่งเรา ปฏิบัติเราก็ยิ่งมีความสุข
แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง ก่อนทีทท่านจะตรัสรู้ ท่านก็ได้คิดพิจารณาอยู่ว่า ท่านเป็นผู้ที่ได้ตั้งความปรารถนาที่จะแสวงหาความพ้นทุกข์ ท่านได้ทรมานตัวเองมาถึง ๖ ปีแล้ว ดูเหมือนทางมันจะตันเหมือนท่านปฏิบัติผิดทาง ท่านทำอย่างไรดี ทำหใ้ท่านระลึกถึงสมัยที่ท่านยังเป็นเด็ก ขณะนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ คนอื่นๆ กำลังสนุกสนามเฮฮา แต่ท่านกลับมานั่งดูตัวเอง ดูลมหายใจเข้า ดูลมหายใจออก แล้วท่านก็เกิดความสงบจิตใจเกิดความปลอดโปร่ง ท่านมีความสุขมากแต่ก็เป็นความสุขของเด็กมันก็ลืมเลือนไปแล้วท่านก็ไม่ได้กระทำการใดๆ ที่จะสนับสนุนความสุขนั้น กลับทำตามกระแสของโลกที่จะพาท่านไปเรื่องพระพุทธเจ้าตอนเป็นเด็กนี้มีเขียนไว้ตามผนังโบสถ์ทั่วเมืองไทย
เมื่อท่านระลึกได้ท่านจึงคิดว่า เอ...บางทีความสุขตอนเป็นเด็กในครั้งนั้นจะเป็นหนทาง แล้วท่านก็เกิดความมั่นใจว่า ใช่แล้ว! ความสุขแบบนั้นจะเป็นหนทางอย่างแน่นอน เพราะเป็นความสุขที่ไม่มีโทษ ไม่มีพิษมีภัย เป็นความสุขที่เกิดจากจิตใจบริสุทธิ์ เกิดจากจิตใจที่สงบมีสติมีปัญญา จึงเป็นความสุขที่น่าสนับสนุน เป็นความสุขที่ควรต้องอิงอาศัยเพื่อการดับทุกข์
ณ จุดนี้พระพุทธเจ้าจึงได้ตัดสินพระทัยที่จะเจริญภาวนาต่อโดยไม่จำเป็นต้องทรมานร่างกายอีกต่อไปเพราะทำให้ไม่มีกำลังเพียงพอ หากเจริญภาวนาแบบปกติอาศัยการฝึกให้มีสติฝึกให้มีสมาธิฝึกให้มีปัญญาความสุขก็เกิดขึ้น
นี่เป็นสิ่งที่อาตมาหวังไว้ว่า ในช่วงเวลา ๓ วัน ๔ วัน ที่ได้มาร่วมกันปฏิบัตินี้ก็หวังว่า โยมจะได้ลิ้มรสความสุขนี้ แม้จะเพียงนิดเดียวก็หวังว่าจะได้รับเพื่อเป็นกำลังใจในการประพฤติปฏิบัติเพื่อจะได้เจริญงอกงามในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็ขอให้ทุกท่านกลับบ้านกันโดยปลอดภัย หากยังไม่ได้ความสุขเดี๋ยวนี้ อย่างน้อยกลับถึงบ้านก็ให้เพียรปฎิบัติให้ต่อเนื่อง เพื่อจะได้พบความสุขอาตมาก็ขออนุโมทนา
____________________________________
พระอาจารย์ปสันโน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น