วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ไม่เสียดาย

          ขออนุโมทนาญาติโยมที่ได้มาร่วมกันทำสมาธิฝึกตัวเองในธรรมะของพระพุทธเจ้า​ ในแง่หนึ่งเรามาปฏิบัติก็เพื่อทำให้ตัวเองมีความรู้ความเข้าใจให้ชัดเจนมากขึ้น​ การปฏิบัติทางพุทธศาสนา​บางคนก็คิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆ ​บางคนก็ว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก​ บ้างก็ว่าเป็นเรื่องที่ศักดิ์สิทธ​ิ์ความคิดของคนมันพิสดารนัก​ 
          หากเป้าหมายของพระพุทธเจ้านั้น​ ท่านมีความประสงค์จะให้เราเป็นคนที่รู้เรื่องตัวเองมากขึ้น ​หรือพูดง่ายๆ​จะได้หายโง่สักทีหนึ่ง​ มันไม่ใช่เรื่องมากหรือเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก​ แต่การสมาทานศีล​๕​ เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องอาศัย​การที่เราได้ระลึกถึง พระพุทธ​ พระธรรม​ พระสงฆ ​์เป็นการสร้างที่พึ่งให้ตนเอง ​เพราะโดยปกติมนุษย์อยู่อย่างไร้ที่พึ่ง​ หรือมีที่พึ่งแต่ไม่สมกับการเป็นที่พึ่งที่แท้จริง​ 
          พูดตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นศีล​๕ ​ศีล​๘ ​ศีล​๑๐​  หรือ ศีล​๒๒๗​ ก็ล้วนแต่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของศีล​๕  ​เราอยู่อย่างไม่เบียดเบียน​อยู่อย่างรับผิดชอบตัวเอง​ ตัวนี้เป็นสิ่งสำคัญ​เมื่อเราเป็นผู้รับผิดชอบตัวเองแล้ว​ พระพุทธเจ้าว่า ผลที่สมควรหรือผลที่พึงปรารถนาของการรักษาศีล คือ​ จะได้เป็นผู้อยู่อย่างไม่มีโทษ​และอยู่อย่างไม่เสียดาย​ ไม่เสียดายในสิ่งที่ได้กระทำ​ ไม่เสียดายในสิ่งที่ได้พูด​หรือสิ่งที่ได้เกี่ยวข้อง กับโลกก็ไม่เสียดาย​ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก​เป็นความสุขอย่างหนึ่ง ​ซึ่งพระพุทธเจ้าเรียกเป็นภาษาบาลีว่า​ อนวัชชสุข​ คือ สุขเกิดจากความประพฤติไม่มีโทษ​ ไม่มีอะไรต้องเสียดาย​
          มันเป็นเรื่องที่เราควรที่จะพยายามยกขึ้นมาสู่จิตใจของเรา ​ทำอย่างไรเราจึงจะได้อยู่อย่างไม่มีโทษและไม่เสียดาย ​ถ้าสามารถอยู่อย่างนั้น​ชีวิตจะมีความหมายมาก​ แล้วอนวัชชสุขก็เป็นกำาลังอย่างหนึ่งในชีวิต​ พระพุทธเจ้าบอกว่า​ ถ้ากำลังในชีวิตของเราตั้งอยู่บนคุณธรรม​ เช่น ​เรามีกำลังของการไม่มีโทษ​เราก็จะอยู่อย่างไม่กลัว​ คือ ไม่กลัวและไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดๆ​ ไม่ว่าจะเรื่องอาชีพก็ดี​ ความเป็นอยู่ก็ดี​การเกี่ยวข้องกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน​ หรือการอยู่ในสังคมก็ด​ี แล้วก็ไม่กลัวความตาย​และไม่กลัวชาติหน้า​ไม่ต้องห่วงกังวลว่า ภพหน้าจะไปอยู่ที่ไหน​ชาตินี้ก็ไม่ห่วง​ชาติหน้าก็ไม่ห่วง​ คือ อยู่อย่างไม่กลัวสิ่งใด 
          อาศัยการเป็นผู้มีศีลเป็นสิ่งสำคัญ​ไม่ว่าจะทำอะไร​เกี่ยวข้องกับใคร​จะไปไหน​ สถานที่ใด​ก็ไม่กลัว​เพราะเมื่อเราสามารถอยู่อย่างมั่นใจในตัวเอง​จิตก็จะไม่หวั่นไหว​ จิตนี้เป็นจิตที่เหมาะกับการทำความสงบ​ความสงบจะเกิดได้ง่าย 
          จึงจำเป็นที่เราต้องสนใจที่จะฝึกตนให้อยู่อย่างมีความสุขที่ถูกต้อง​ และพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ห้ามให้เรามีความสุข​ที่บางคนคิดว่าการปฏิบัติในพุทธศาสนาน่าอึดอัดและลำบากนั้น​ จริงๆแล้วยิ่งเรา  ปฏิบัต​ิเราก็ยิ่งมีความสุข​ 
          แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง ก่อนทีทท่านจะตรัสรู้ ท่านก็ได้คิดพิจารณาอยู่ว่า ท่านเป็นผู้ที่ได้ตั้งความปรารถนาที่จะแสวงหาความพ้นทุกข์ ท่านได้ทรมานตัวเองมาถึง ​๖ ปีแล้ว ดูเหมือนทางมันจะตันเหมือนท่านปฏิบัติผิดทาง ท่านทำอย่างไรดี ทำหใ้ท่านระลึกถึงสมัยที่ท่านยังเป็นเด็ก ​ขณะนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ คนอื่นๆ กำลังสนุกสนามเฮฮา แต่ท่านกลับมานั่งดูตัวเอง​ ดูลมหายใจเข้า​ ดูลมหายใจออก ​แล้วท่านก็เกิดความสงบ​จิตใจเกิดความปลอดโปร่ง​ ท่านมีความสุขมาก​แต่ก็เป็นความสุขของเด็ก​มันก็ลืมเลือนไป​แล้วท่านก็ไม่ได้กระทำการใดๆ ที่จะสนับสนุนความสุขนั้น​ กลับทำตามกระแสของโลกที่จะพาท่านไป​เรื่องพระพุทธเจ้าตอนเป็นเด็กนี้​มีเขียนไว้ตามผนังโบสถ์ทั่วเมืองไทย​ 
          เมื่อท่านระลึกได้​ท่านจึงคิดว่า​  เอ...บางทีความสุขตอนเป็นเด็กในครั้งนั้น​จะเป็นหนทาง​ แล้วท่านก็เกิดความมั่นใจว่า​ ใช่แล้ว!​ ความสุขแบบนั้นจะเป็นหนทางอย่างแน่นอน​ เพราะเป็นความสุขที่ไม่มีโทษ​ ไม่มีพิษมีภัย​ เป็นความสุขที่เกิดจากจิตใจบริสุทธิ์ ​เกิดจากจิตใจที่สงบ​มีสติ​มีปัญญา ​จึงเป็นความสุขที่น่าสนับสนุน​ เป็นความสุขที่ควรต้องอิงอาศัยเพื่อการดับทุกข์​
           ณ ​จุดนี้​พระพุทธเจ้าจึงได้ตัดสินพระทัยที่จะเจริญภาวนาต่อ​โดยไม่จำเป็นต้องทรมานร่างกายอีกต่อไปเพราะทำให้ไม่มีกำลังเพียงพอ  ​หากเจริญภาวนาแบบปกติ​อาศัยการฝึกให้มีสติ​ฝึกให้มีสมาธ​ิฝึกให้มีปัญญา​ความสุขก็เกิดขึ้น 
          นี่เป็นสิ่งที่อาตมาหวังไว​้ว่า ในช่วงเวลา​ ๓ ​วัน​ ๔ ​วัน ที่ได้มาร่วมกันปฏิบัตินี้​ก็หวังว่า โยมจะได้ลิ้มรสความสุขน​ี้ แม้จะเพียงนิดเดียวก็หวังว่าจะได้รับ​เพื่อเป็นกำลังใจในการประพฤติปฏิบัต​ิเพื่อจะได้เจริญงอกงามในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า​ ก็ขอให้ทุกท่านกลับบ้านกันโดยปลอดภัย​ หากยังไม่ได้ความสุขเดี๋ยวน​ี้ อย่างน้อยกลับถึงบ้านก็ให้เพียรปฎิบัติให้ต่อเนื่อง​ เพื่อจะได้พบความสุข​อาตมาก็ขออนุโมทนา

____________________________________

พระอาจารย์ปสันโน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น