วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อริยสัจ ๔ (ต่อ)

          ตามลำดับที่พระพุทธเจ้าได้สอนนั้น ​ผู้ปฏิบัติต้องอาศัยการสังเกตและพิจารณาทุกข์เพื่อเข้าถึงเหตุ​มีทุกข์ก็ต้องกำหนดรู้​มีเหตุให้ทุกข์ก็ต้องละเสีย​นี่ เป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติ​เพียรละเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์เสีย​ไม่ใช่ว่าจะต้องปฏิบัติจนสุดทางของการปฏิบัติเสียก่อนจึงจะได้ละ ​เพราะหนทางของการฝึกตนเองจำเป็นต้องอาศัยการละอยู่ทุกขณะ 
          หลวงพ่อชาท่านเคยสอนว่า ​การปฏิบัติธรรมมันง่าย ​เพราะว่ามีอยู่แค่สองเรื่องที่จะต้องทำ​รู้แล้ววาง​ร​ู้รู้ให้ชัดเจน​มีสติ​แล้วก็วาง ​คือ ให้มีการละ​รู้แล้ววาง​รู้แล้ว วาง​เราก็เอาแค่นี้แหละ​ การปฏิบัติของเราก็จะไม่สับสน​ทำอยู่แค่นี้แหละ​แล้วมันจะเจริญก้าวหน้าอยู่ตลอด​ ทำอย่างไม่ถอย​รู้แล้ววางๆๆ​ คือ ​เรารู้ว่า​เอ...​ทำอย่างนี้​ พูดอย่างนี้ ​มันเป็นปัญหา​เราก็ต้องละเสีย ​สิ่งใดทำให้เกิดอุปสรรคหรือความสับสนในชีวิต ​เมื่อรู้แล้วก็วางเสีย​ละสิ่งที่เป็นอุปสรรคในการประพฤติดี​ศีลก็เกิดขึ้นมาทันที​ สมาธิก็เช่นเดียวกัน​รู้แล้ววางๆ​รู้สิ่งที่ทำให้จิตใจขุ่นมัว​รู้เหตุที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง​ รู้ให้ดีว่าความเศร้าหมองเกิดอย่างนี้ๆ​ เวลานั่งสมาธิภาวนาหรือฝึกตน​ เกิดความขุ่นมัวขึ้นมา อย่างนี้ๆ​เราก็ละตรงนั้น ​เราก็วางตรงนั้น ​สมาธิย่อมเกิดขึ้น​มันเกิดจากการละ สิ่งที่เป็นอุปสรรค​การวาง สิ่งที่ขัดขวางความรู้สึกปลอดโปร่งของจิตใจ​ ผลที่ออกมาตามธรรมชาติก็คือ จิตใจที่มีลักษณะมั่นคง​ตั้งใจมั่นได้​ 
          เมื่อเรารู้และวางในสิ่งที่เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์​เหตุให้เกิดความรู้สึกอึดอัด​เหตุให้เกิดความรู้สึกคับแคบในจิตใจของเรา​ก็ย่อมเกิดปัญญาที่จะแยกแยะว่า​เออ... ตัวนี้เป็นปัญหาในด้านจิตใจ​ ตัวนั้นเป็นปัญหาในด้านทัศนะที่เรามองตัวเองก็ดี​ หรือ ทัศนะที่เรามองโลกก็ดี​เมื่อได้ดูแล้ว​เออ...เราก็วางมันเสีย​แต่ถ้าเราอยากให้ตัวอารมณ์มันแน่นอน​ให้มันถาวร​ให้มันมั่นคง​ไม่อยากให้โลกเปลี่ยนแปลง​อยากให้มี แต่ความสุข​อยากให้มีแต่ความสบาย​อยากให้อยู่อย่างถูกใจตลอดเวลา​อยากอย่างนี้ มันก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์​มันต้องวางอยู่ตรงนั้น​ต้องละอยู่ตรงนั้น​มันก็จะได้ยอมรับ ความจริงว่า​เออ...อนิจจัง​มันไม่เที่ยง​ 
          คำศัพท์ว่า อนัตตา ไม่ได้เป็น เราไม่ได้เป็นตัวตนของเรา ไม่ได้เป็นของของเรา​ เพราะเราไม่สามารถที่จะบังคับให้เป็นไปตามความพอใจของเรา​ เช่น​ ไม่อยากให้ร่างกายแก่​ไม่อยากให้เกิดความเจ็บไข้ได้ป่วย​ก็ทำไม่ได้ ​แสดงว่าร่างกายไม่ใช่ของๆ​เรา​ อยากให้จิตใจมีความสุขไม่เปลี่ยนแปลง​อยากให้จิตใจมีแต่ความคิดฉลาดๆ​ดีๆ​ ใครๆ​ก็อยากกันทั้งนั้น​ แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได​้เราก็ต้องยอมรับว่า​ทุกอย่างมันเป็นไปตามกระบวนการของธรรมชาติ​ เมื่อเรายอมรับความเป็นจริงได้​เราก็จะสบาย 
          อริยสัจข้อที่สาม คือ การดับทุกข์และเรามีหน้าที่ต้องทำให้แข้งซึ่งการดับทุกข์​ โดยทำให้มีผู้รู้ต่อเนื่องใสจิตใจ การดับทุกข์ก็จะสามารถปรากฏได้​ แต่เราต้องทำให้แจ้งเพราะโดยปกติแล้ว​มันไม่แจ้ง​มันจะถูกทับๆ​เอาไว้อยู่ตลอดเวลา​ ทับด้วยอารมณ์​ ทับด้วยความพอใจ​ ทับด้วยความไม่พอใจ ท้บดวยความชอบ​ ทับด้วยความไม่ชอบ ทับถมกันไว้จนมันจม แหละฉะนั้นการดับทุกข์ของเรานั้น เราต้องทำให้แจ้งโดยอาศัยผู้รู้​ เป็นสิ่งที่น่าสังเกตว่า​เวลาเรายกสติขึ้นมา​ ยกผู้รู้ขึ้นมา ​แม้จะได้แค่วินาทีเดียว​เราต้องสังเกตดูความรู้สึกว่าเป็นอย่างไร​เราต้องใส่ใจกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ขณะที่เราตั้งผู้รู้ได้มันเป็นการทำให้แจ้งเหมือนเราค่อยๆแหวกสิ่งที่คลุมจิตใจออก คุณธรรมต่างๆ​ที่เราต้องอาศัยเพื่อการน​ี้และทุกอย่างที่อาตมาพูด​พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ใน ธัมมจักกัปปวัตนสูตร​ 
          จาโค ปฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย​ เป็นวิธีหรือคุณธรรมในจิตใจที่เราต้องอาศัยอยู่​ จาโค​ หรือจาคะ เป็นความสลัดทิ้ง บางทีคนจะใช้สลับกับทาน เช่น จาคานุสสติ ระลึกถึงการให้ แต่ว่าความหมายของจาคะ​เป็นความหมายที่กว้างกว่าการให้ คือ จะมีความหมายในลักษณะทั้งให้ทั้งเสียสละ แล้วเรายินดีในการเสียสละนั้น ไม่ได้มีอะไรขยักไว้เพราะบางทีเราให้ก็จริง แต่ใจมันยังอยากได้อยู่ ​จาคะยังหมายถึง การเสียสละกิเลสด้วย ในบทสวดมนต์ก็แปลว่า สลัดทิ้ง สลัดทิ้งฟังดูเหมือนจะเกลียด แต่ว่าการ สลัดทิ้งนี้ทำให้จิตใจอิ่มเอิบ ทำให้เกิดการดับทุกข์ เป็นการให้ของขวัญแก่ตัวเอง 
        ปฏินิสสัคโค ​เป็นความสละคืน ​คือ​ การสละและการคืน​เป็นในลักษณะความรู้สึกต่อตัวตน​เราสามารถที่จะสละคืน​ความรู้สึกต่อตัวตนที่เข้าข้างตัวเอง หรือเข้าข้างความต้องการของตัวเอง​ 
         มุตติ  เป็นความปล่อย ก็่เช่นเดียวกัน เราละปล่อยไม่เอาไม่เก็บอะไรเอาไว้ 
         อะนาละโย​  เป็นความทำไม่ให้มีที่อาศัย  ซึ่งตัณหานั้น​ คือ    ไม่ให้มีที่อาศัย​ไม่มีที่เก็บเอาไว​้ไม่มีที่
ติดอย​ู่ไม่มีที่ยังเป็นกากติดเอาไว้​คือสะอาดเกลี้ยง​เรียบร้อย​จิตใจ เรียบร้อย​ไม่เหลือแม้แต่กากของตัณหา​          นี่เป็นลักษณะของจิตที่จะเข้าสู่การดับทุกข์​เป็นสิ่งที่เราต้องฝึกไว​้หัดไว​้แล้ว อย่างที่อาตมาพูด​เวลาเรายกผู้รู้ขึ้นมาสู่จิตใจ​เราก็สังเกตดูความรู้สึก​เราจะทำความรู้สึกนั้นให้ต่อเนื่องได้อย่างไร​ แม้จะได้แค่ช่วงสั้นๆ​ เพียงวินาทีสองวินาท​ี เราก็ต้องให้ความสนใจ​ให้เอาใส่ใจกับความรู้สึกที่วาง​ที่ปล่อย​ที่ปลอดโปร่ง​ไม่มีที่อาศัยของตัณหา​พยายามดูลมหายใจเข้าลมหายใจออก ​ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้มีที่อาศัยของ ตัณหา​ก็ต้องอาศัยการทำผู้รู้ให้เด่นขึ้นมา ​ทำความรู้สึกให้ความสงบและความปลอดโปร่งเด่นขึ้นมา​ 
          มันเหมือนกับสระน้ำที่เต็มไปด้วยสาหร่ายจนมองไม่เห็นน้ำ ​เมื่อโยนหินลงไป​ทำให้สาหร่ายแหวกออก​เราก็ได้เห็นว่า ​เอ้อ...​สระน้ำน้ำใสสะอาด​ แต่เห็นอยู่แป๊บเดียวสาหร่ายก็จะเคลื่อนเข้ามาอีก​ แล้วเราจะทำอย่างไรจึงจะสามารถแหวกสาหร่ายออก​ แหวกออกๆๆ​เพื่อจะได้เห็นน้ำใสๆ​นั่น​ จิตใจของเราก็เช่นเดียวกัน​เราได้สังเกตดูว่า​เอ้อ...​ มันมีผู้รู้​แล้วก็มีความปลอดโปร่ง​น่าจะเป็นหนทางที่ด​ีเราก็ให้ความสนใจ และให้ความสำคัญกับภาวะนี้​แต่แล้วการนึกคิดปรุงแต่ง ​และเครื่องเศร้าหมองต่างๆ​ก็ย่อมเข้ามาอีก​ จึงเป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัต​ิที่จะคอยฝึกคอยหัดในการตั้งผู้ร​ู้ ยกผู้รู้ให้เด่นขึ้นมาๆๆ​ ตรงนี้เราต้องขยัน​เมื่อเราขยันตั้งผู้รู้ให้เด่นขึ้นมา​ความแจ่มใสของจิตใจ ก็จะมีความต่อเนื่อง​การดับทุกข์จะค่อยๆ​ปรากฏ​ค่อยๆ​ทำทีละเล็กทีละน้อย​ แต่ต้องเพียรทำอย่างต่อเนื่อง​เราต้องคิดในลักษณะนี้ ​เพราะถ้าหากเราคิดว่า​เราต้องขยันหมั่นเพียรจนไปถึงการดับทุกข์​โน่นน่ะ​ เดี๋ยวจะท้อใจเสียก่อน​ ที่สำคัญคือเราต้องพยายามสังเกต​ พอเราตั้งผู้รู้ขึ้นมาได้​ มันก็จะเหมือนกับเราอยู่ในห้องมืดมาไม่รู้ นานเท่าใด​พอมีแสงสว่างเข้ามาสักนิด​มันก็ชื่นใจ​ทำอย่างไรเราจึงจะได้แสงสว่างนั้นให้มากขึ้นๆ ​เราจึงจะได้อยู่ในที่ๆ​ไม่มืด​การจะทำอย่างนั้นได้​มันย่อมต้องอาศัยการฝึกการหัดเป็นเหตุ​ 
           อริยสัจข้อที่สี่​ คือ ​อริยมรรค มีองค์แปดเป็นหนทางที่จะดับทุกข์ได้ ​ซึ่งเรามีหน้าที่ต้องปฏิบัติให้เกิดขึ้น​ ไม่ว่าการรักษาศีลก็ดี​ การฝึกสมาธิก็ดี​ และการทำให้ปัญญาเกิดขึ้นก็ดี​ ล้วนเป็นเหตุปัจจัยที่จะเปิดโอกาสให้ผู้รู้ในจิตใจของเราได้เกิดขึ้น และเกิดต่อเนื่องอย่างมั่นคง นอกจากนี้ก็ยังเป็นหนทางสำหรับการฝึกการหัด ดังที่พระพุทธเจ้าเรียก​ ศีล สมาธิ ปัญญา​ว่า​ ไตรสิกขา​สิกขา แปลว่า ศึกษา​ศึกษาแล้ว ปฏิบัติ​ลงมือประพฤติปฏิบัติ​ทำเอาเอง​ การศึกษาในสมัยพุทธกาล​ไม่ได้มานั่งขีดมา นั่งเขียนมากมาย​หากใช้วิธีลงมือทำลงมือฝึกลงมือหัดเลย ​เมื่อเราได้ฝึกหัด​เราก็จะเกิดความรู้ความเข้าใจ​จากการกระทำของราเอง​หนทางที่สนับสนุนความรู้ที่ถูกต้อง ก็คือ อริยสัจ​๔​ และ​ศีลสมาธิ​ ปัญญา​ หรือไตรสิขานี้เป็นการฝึกการหัดเป็นเหตุที่ทำให้การดับทุกข์ที่ปรากฏได​้ 
          ในฐานะที่เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า​เราก็ต้องพยายามฝึกตัวเอง​อาศัย ธรรมะคำสั่งสอนของท่าน​แปลว่า​ อย่าหนีออกจากขอบของอริยสัจ​๔​ ถ้าเราอยู่ในขอบเขตของอริยสัจ​๔ ​เราก็ปฏิบัติไม่ผิด​ปฏิบัติไม่หลง​แต่ไม่ใช่ว่าจะได้ผลทันที ​มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราต้องยอมฝึก​ยอมหัด​ยอมปฏิบัต​ิ              
          พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบคำสอนของท่านเหมือนกับทะเล​ท่านว่า​ไม่ใช่ พอเราถึงฝั่งทะเลแล้ว​ทะเลมันจะลึกลงไปทันท​ี หากพื้นทะเลจะค่อยๆ​ลาดลงๆ​ทะเลจะค่อยๆ​ลึกขึ้นๆๆ​จนไปถึงก้นทะเลที่ลึกที่สุด​เช่นเดียวกันกับธรรมะของพระพุทธเจ้า ​และหลักปฏิบัติของท่าน​ไม่ใช่ว่าปฏิบัติแล้วจะได้ผลทันท​ีการจะได้เข้าถึงผลอันสูงสุด หรือจุดที่ลึกสุดได้นั้น​ต้องอาศัยการฝึกการหัด​การน้อมเข้ามาใส่ตน​ค่อยเป็นค่อยไป​ แต่มันก็ต้องถึงในที่สุด​เพราะว่ามันไม่ไปที่อื่น​เหมือนดังที่พระพุทธองค์ได้เปรียบกับ แม่น้ำสายต่างๆ​ที่ไหลลงมาจากภูเขาหิมาลัย​ซึ่งเริ่มจากลำธารเล็กๆ​ก่อนจะค่อยๆ​รวมกันเป็นแม่น้ำใหญ่​ เช่น แม่น้ำคงคา​แล้วไหลออกสู่ทะเล​ เช่นเดียวกับการปฏิบัติของเรา​ปฏิบัตินี่​ปฏิบัตินั่น​ แต่มันก็รวมเข้าสู่จุดเดียวกันคือการดับทุกข์​มันก็เป็นธรรมชาติ​ อาศัยหลักคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า​การฝึกการหัดย่อมก่อให้เกิดผล 
          วันนี้อาตมาก็ได้ให้ข้อคิดพอสมควรแก่เวลา​ขอยุติลงเพียงเท่านี้​ เอวัง​ ขอให้เราตั้งใจนั่งสมาธิกันต่อไป​  สมาธิแปลว่า ตั้งใจมั่น​ให้ตั้งใจมั่นกับอริยสัจ​๔

___________________________________

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น