ตามลำดับที่พระพุทธเจ้าได้สอนนั้น ผู้ปฏิบัติต้องอาศัยการสังเกตและพิจารณาทุกข์เพื่อเข้าถึงเหตุมีทุกข์ก็ต้องกำหนดรู้มีเหตุให้ทุกข์ก็ต้องละเสียนี่ เป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติเพียรละเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์เสียไม่ใช่ว่าจะต้องปฏิบัติจนสุดทางของการปฏิบัติเสียก่อนจึงจะได้ละ เพราะหนทางของการฝึกตนเองจำเป็นต้องอาศัยการละอยู่ทุกขณะ
หลวงพ่อชาท่านเคยสอนว่า การปฏิบัติธรรมมันง่าย เพราะว่ามีอยู่แค่สองเรื่องที่จะต้องทำรู้แล้ววางรู้รู้ให้ชัดเจนมีสติแล้วก็วาง คือ ให้มีการละรู้แล้ววางรู้แล้ว วางเราก็เอาแค่นี้แหละ การปฏิบัติของเราก็จะไม่สับสนทำอยู่แค่นี้แหละแล้วมันจะเจริญก้าวหน้าอยู่ตลอด ทำอย่างไม่ถอยรู้แล้ววางๆๆ คือ เรารู้ว่าเอ...ทำอย่างนี้ พูดอย่างนี้ มันเป็นปัญหาเราก็ต้องละเสีย สิ่งใดทำให้เกิดอุปสรรคหรือความสับสนในชีวิต เมื่อรู้แล้วก็วางเสียละสิ่งที่เป็นอุปสรรคในการประพฤติดีศีลก็เกิดขึ้นมาทันที สมาธิก็เช่นเดียวกันรู้แล้ววางๆรู้สิ่งที่ทำให้จิตใจขุ่นมัวรู้เหตุที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง รู้ให้ดีว่าความเศร้าหมองเกิดอย่างนี้ๆ เวลานั่งสมาธิภาวนาหรือฝึกตน เกิดความขุ่นมัวขึ้นมา อย่างนี้ๆเราก็ละตรงนั้น เราก็วางตรงนั้น สมาธิย่อมเกิดขึ้นมันเกิดจากการละ สิ่งที่เป็นอุปสรรคการวาง สิ่งที่ขัดขวางความรู้สึกปลอดโปร่งของจิตใจ ผลที่ออกมาตามธรรมชาติก็คือ จิตใจที่มีลักษณะมั่นคงตั้งใจมั่นได้
เมื่อเรารู้และวางในสิ่งที่เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์เหตุให้เกิดความรู้สึกอึดอัดเหตุให้เกิดความรู้สึกคับแคบในจิตใจของเราก็ย่อมเกิดปัญญาที่จะแยกแยะว่าเออ... ตัวนี้เป็นปัญหาในด้านจิตใจ ตัวนั้นเป็นปัญหาในด้านทัศนะที่เรามองตัวเองก็ดี หรือ ทัศนะที่เรามองโลกก็ดีเมื่อได้ดูแล้วเออ...เราก็วางมันเสียแต่ถ้าเราอยากให้ตัวอารมณ์มันแน่นอนให้มันถาวรให้มันมั่นคงไม่อยากให้โลกเปลี่ยนแปลงอยากให้มี แต่ความสุขอยากให้มีแต่ความสบายอยากให้อยู่อย่างถูกใจตลอดเวลาอยากอย่างนี้ มันก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์มันต้องวางอยู่ตรงนั้นต้องละอยู่ตรงนั้นมันก็จะได้ยอมรับ ความจริงว่าเออ...อนิจจังมันไม่เที่ยง
คำศัพท์ว่า อนัตตา ไม่ได้เป็น เราไม่ได้เป็นตัวตนของเรา ไม่ได้เป็นของของเรา เพราะเราไม่สามารถที่จะบังคับให้เป็นไปตามความพอใจของเรา เช่น ไม่อยากให้ร่างกายแก่ไม่อยากให้เกิดความเจ็บไข้ได้ป่วยก็ทำไม่ได้ แสดงว่าร่างกายไม่ใช่ของๆเรา อยากให้จิตใจมีความสุขไม่เปลี่ยนแปลงอยากให้จิตใจมีแต่ความคิดฉลาดๆดีๆ ใครๆก็อยากกันทั้งนั้น แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้เราก็ต้องยอมรับว่าทุกอย่างมันเป็นไปตามกระบวนการของธรรมชาติ เมื่อเรายอมรับความเป็นจริงได้เราก็จะสบาย
อริยสัจข้อที่สาม คือ การดับทุกข์และเรามีหน้าที่ต้องทำให้แข้งซึ่งการดับทุกข์ โดยทำให้มีผู้รู้ต่อเนื่องใสจิตใจ การดับทุกข์ก็จะสามารถปรากฏได้ แต่เราต้องทำให้แจ้งเพราะโดยปกติแล้วมันไม่แจ้งมันจะถูกทับๆเอาไว้อยู่ตลอดเวลา ทับด้วยอารมณ์ ทับด้วยความพอใจ ทับด้วยความไม่พอใจ ท้บดวยความชอบ ทับด้วยความไม่ชอบ ทับถมกันไว้จนมันจม แหละฉะนั้นการดับทุกข์ของเรานั้น เราต้องทำให้แจ้งโดยอาศัยผู้รู้ เป็นสิ่งที่น่าสังเกตว่าเวลาเรายกสติขึ้นมา ยกผู้รู้ขึ้นมา แม้จะได้แค่วินาทีเดียวเราต้องสังเกตดูความรู้สึกว่าเป็นอย่างไรเราต้องใส่ใจกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ขณะที่เราตั้งผู้รู้ได้มันเป็นการทำให้แจ้งเหมือนเราค่อยๆแหวกสิ่งที่คลุมจิตใจออก คุณธรรมต่างๆที่เราต้องอาศัยเพื่อการนี้และทุกอย่างที่อาตมาพูดพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ใน ธัมมจักกัปปวัตนสูตร
จาโค ปฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย เป็นวิธีหรือคุณธรรมในจิตใจที่เราต้องอาศัยอยู่ จาโค หรือจาคะ เป็นความสลัดทิ้ง บางทีคนจะใช้สลับกับทาน เช่น จาคานุสสติ ระลึกถึงการให้ แต่ว่าความหมายของจาคะเป็นความหมายที่กว้างกว่าการให้ คือ จะมีความหมายในลักษณะทั้งให้ทั้งเสียสละ แล้วเรายินดีในการเสียสละนั้น ไม่ได้มีอะไรขยักไว้เพราะบางทีเราให้ก็จริง แต่ใจมันยังอยากได้อยู่ จาคะยังหมายถึง การเสียสละกิเลสด้วย ในบทสวดมนต์ก็แปลว่า สลัดทิ้ง สลัดทิ้งฟังดูเหมือนจะเกลียด แต่ว่าการ สลัดทิ้งนี้ทำให้จิตใจอิ่มเอิบ ทำให้เกิดการดับทุกข์ เป็นการให้ของขวัญแก่ตัวเอง
ปฏินิสสัคโค เป็นความสละคืน คือ การสละและการคืนเป็นในลักษณะความรู้สึกต่อตัวตนเราสามารถที่จะสละคืนความรู้สึกต่อตัวตนที่เข้าข้างตัวเอง หรือเข้าข้างความต้องการของตัวเอง
มุตติ เป็นความปล่อย ก็่เช่นเดียวกัน เราละปล่อยไม่เอาไม่เก็บอะไรเอาไว้
อะนาละโย เป็นความทำไม่ให้มีที่อาศัย ซึ่งตัณหานั้น คือ ไม่ให้มีที่อาศัยไม่มีที่เก็บเอาไว้ไม่มีที่
ติดอยู่ไม่มีที่ยังเป็นกากติดเอาไว้คือสะอาดเกลี้ยงเรียบร้อยจิตใจ เรียบร้อยไม่เหลือแม้แต่กากของตัณหา นี่เป็นลักษณะของจิตที่จะเข้าสู่การดับทุกข์เป็นสิ่งที่เราต้องฝึกไว้หัดไว้แล้ว อย่างที่อาตมาพูดเวลาเรายกผู้รู้ขึ้นมาสู่จิตใจเราก็สังเกตดูความรู้สึกเราจะทำความรู้สึกนั้นให้ต่อเนื่องได้อย่างไร แม้จะได้แค่ช่วงสั้นๆ เพียงวินาทีสองวินาที เราก็ต้องให้ความสนใจให้เอาใส่ใจกับความรู้สึกที่วางที่ปล่อยที่ปลอดโปร่งไม่มีที่อาศัยของตัณหาพยายามดูลมหายใจเข้าลมหายใจออก ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้มีที่อาศัยของ ตัณหาก็ต้องอาศัยการทำผู้รู้ให้เด่นขึ้นมา ทำความรู้สึกให้ความสงบและความปลอดโปร่งเด่นขึ้นมา
มันเหมือนกับสระน้ำที่เต็มไปด้วยสาหร่ายจนมองไม่เห็นน้ำ เมื่อโยนหินลงไปทำให้สาหร่ายแหวกออกเราก็ได้เห็นว่า เอ้อ...สระน้ำน้ำใสสะอาด แต่เห็นอยู่แป๊บเดียวสาหร่ายก็จะเคลื่อนเข้ามาอีก แล้วเราจะทำอย่างไรจึงจะสามารถแหวกสาหร่ายออก แหวกออกๆๆเพื่อจะได้เห็นน้ำใสๆนั่น จิตใจของเราก็เช่นเดียวกันเราได้สังเกตดูว่าเอ้อ... มันมีผู้รู้แล้วก็มีความปลอดโปร่งน่าจะเป็นหนทางที่ดีเราก็ให้ความสนใจ และให้ความสำคัญกับภาวะนี้แต่แล้วการนึกคิดปรุงแต่ง และเครื่องเศร้าหมองต่างๆก็ย่อมเข้ามาอีก จึงเป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติที่จะคอยฝึกคอยหัดในการตั้งผู้รู้ ยกผู้รู้ให้เด่นขึ้นมาๆๆ ตรงนี้เราต้องขยันเมื่อเราขยันตั้งผู้รู้ให้เด่นขึ้นมาความแจ่มใสของจิตใจ ก็จะมีความต่อเนื่องการดับทุกข์จะค่อยๆปรากฏค่อยๆทำทีละเล็กทีละน้อย แต่ต้องเพียรทำอย่างต่อเนื่องเราต้องคิดในลักษณะนี้ เพราะถ้าหากเราคิดว่าเราต้องขยันหมั่นเพียรจนไปถึงการดับทุกข์โน่นน่ะ เดี๋ยวจะท้อใจเสียก่อน ที่สำคัญคือเราต้องพยายามสังเกต พอเราตั้งผู้รู้ขึ้นมาได้ มันก็จะเหมือนกับเราอยู่ในห้องมืดมาไม่รู้ นานเท่าใดพอมีแสงสว่างเข้ามาสักนิดมันก็ชื่นใจทำอย่างไรเราจึงจะได้แสงสว่างนั้นให้มากขึ้นๆ เราจึงจะได้อยู่ในที่ๆไม่มืดการจะทำอย่างนั้นได้มันย่อมต้องอาศัยการฝึกการหัดเป็นเหตุ
อริยสัจข้อที่สี่ คือ อริยมรรค มีองค์แปดเป็นหนทางที่จะดับทุกข์ได้ ซึ่งเรามีหน้าที่ต้องปฏิบัติให้เกิดขึ้น ไม่ว่าการรักษาศีลก็ดี การฝึกสมาธิก็ดี และการทำให้ปัญญาเกิดขึ้นก็ดี ล้วนเป็นเหตุปัจจัยที่จะเปิดโอกาสให้ผู้รู้ในจิตใจของเราได้เกิดขึ้น และเกิดต่อเนื่องอย่างมั่นคง นอกจากนี้ก็ยังเป็นหนทางสำหรับการฝึกการหัด ดังที่พระพุทธเจ้าเรียก ศีล สมาธิ ปัญญาว่า ไตรสิกขาสิกขา แปลว่า ศึกษาศึกษาแล้ว ปฏิบัติลงมือประพฤติปฏิบัติทำเอาเอง การศึกษาในสมัยพุทธกาลไม่ได้มานั่งขีดมา นั่งเขียนมากมายหากใช้วิธีลงมือทำลงมือฝึกลงมือหัดเลย เมื่อเราได้ฝึกหัดเราก็จะเกิดความรู้ความเข้าใจจากการกระทำของราเองหนทางที่สนับสนุนความรู้ที่ถูกต้อง ก็คือ อริยสัจ๔ และศีลสมาธิ ปัญญา หรือไตรสิขานี้เป็นการฝึกการหัดเป็นเหตุที่ทำให้การดับทุกข์ที่ปรากฏได้
ในฐานะที่เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าเราก็ต้องพยายามฝึกตัวเองอาศัย ธรรมะคำสั่งสอนของท่านแปลว่า อย่าหนีออกจากขอบของอริยสัจ๔ ถ้าเราอยู่ในขอบเขตของอริยสัจ๔ เราก็ปฏิบัติไม่ผิดปฏิบัติไม่หลงแต่ไม่ใช่ว่าจะได้ผลทันที มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราต้องยอมฝึกยอมหัดยอมปฏิบัติ
พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบคำสอนของท่านเหมือนกับทะเลท่านว่าไม่ใช่ พอเราถึงฝั่งทะเลแล้วทะเลมันจะลึกลงไปทันที หากพื้นทะเลจะค่อยๆลาดลงๆทะเลจะค่อยๆลึกขึ้นๆๆจนไปถึงก้นทะเลที่ลึกที่สุดเช่นเดียวกันกับธรรมะของพระพุทธเจ้า และหลักปฏิบัติของท่านไม่ใช่ว่าปฏิบัติแล้วจะได้ผลทันทีการจะได้เข้าถึงผลอันสูงสุด หรือจุดที่ลึกสุดได้นั้นต้องอาศัยการฝึกการหัดการน้อมเข้ามาใส่ตนค่อยเป็นค่อยไป แต่มันก็ต้องถึงในที่สุดเพราะว่ามันไม่ไปที่อื่นเหมือนดังที่พระพุทธองค์ได้เปรียบกับ แม่น้ำสายต่างๆที่ไหลลงมาจากภูเขาหิมาลัยซึ่งเริ่มจากลำธารเล็กๆก่อนจะค่อยๆรวมกันเป็นแม่น้ำใหญ่ เช่น แม่น้ำคงคาแล้วไหลออกสู่ทะเล เช่นเดียวกับการปฏิบัติของเราปฏิบัตินี่ปฏิบัตินั่น แต่มันก็รวมเข้าสู่จุดเดียวกันคือการดับทุกข์มันก็เป็นธรรมชาติ อาศัยหลักคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าการฝึกการหัดย่อมก่อให้เกิดผล
วันนี้อาตมาก็ได้ให้ข้อคิดพอสมควรแก่เวลาขอยุติลงเพียงเท่านี้ เอวัง ขอให้เราตั้งใจนั่งสมาธิกันต่อไป สมาธิแปลว่า ตั้งใจมั่นให้ตั้งใจมั่นกับอริยสัจ๔
___________________________________
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น