วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

รักษาใจยามป่วยไข้ (ต่อ)

          การที่จะรักษาใจนั้นรักษาดวยอะไรก็รักษาดวยสติ คือ มีสติกําหนดอยางนอยดังที่กลาวมาวา ถามีสติเอาใจยึดไวกับคําสอนของพระพุทธเจาวา ถึงกายของเราจะปวยแตใจของเราจะไมปวยเพียงแคนี้ก็ทําใหใจหยุดยั้งมีหลักมีที่ยึดแลวจิตใจก็สบายขึ้น อาจจะนํามาเปนคําภาวนาก็ไดคือภาวนาไวในใจตลอดเวลาบอกวากายปวยใจไมปวยถึงกายจะปวยแตใจไมปวยทํานองนี้ภาวนายึดไวบอกตัวเองอยู่เสมอ  ใจก็จะไมเลื่อนลอยเควงควางไป  
          การรักษาใจดวยสตินั้น ก็คือวา เอาจิตของเราไปผูกมัดไวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ดีงาม ที่ไมมีการปรุง แตงจิตของเรานี้ชอบปรุงแตง เมื่อรางกายไม่สบายจิตใจก็ปรุงแตงไปตามความไมสบายนั้น ทําใหมีความไมสบายมากขึ้น หรือวาจิตใจไปหวงกังวลภายนอกหวงกังวลเรื่องทางดานครอบครัว หวงลูกหลาน หวงกังวลเรื่องขาวของทรัพยสินอะไรตางๆ ที่ทานเรียกวาเปนของนอกกายไมใชตวัของเรา  
          โดยเฉพาะลูกหลานนั้นก็มีหลักมีฐานของตนเองก็อยูสบายกันแลว  ตอนนี้ลูกหลานเหลานั้นมีหนาที่ที่จะมาเอาใจใสดูแลผูเจ็บไขไดปวย ไมใชหนาที่ของผูเจ็บปวยที่จะไปหวงกังวลตอผูที่ยังม รางกายแข็งแรงดี ทานเหลานั้นสามารถรับผิดชอบตนเอง หรือชวยเหลือกันเองไดดีอยูแลว จึงไมตองเป็นห่วงเป็นกังวล  
          ตัวเองก็ไมตองเปนหวงเชนเดียวกัน เพราะถารักษาใจไวไดอยางเดียวแลว ก็เปนการรักษาแกน ของชีวิตไวได เพราะวาชีวิตของเรานั้นก็เปนดังที่ได้กลาววา มีกายกับใจสองอยาง โบราณกลาวไววา ใจเปนนายกายเปนบาว กายนั้นรับใชใจใจเปนแกนของชีวิต ถารักษาใจไวไดแลวก็นับวาเปนการรักษาสวนประเสริฐของชีวิตไวได  
          เพราะฉะนั้น ตอนนี้ก็รักษาแตใจของตนเองอยางเดียว ถารักษาใจไดแลวก็ชื่อวารักษาแกนของ ชีวิตไวได และดังที่กลาวมาในตอนนี้ก็ตองปลงใจไดวากายนั้นเปนเรื่องของแพทย เพราะฉะนั้นไมตอง ไปกังวลเรื่องกายมาพิจารณาแตรักษาจิตไว  
          วิธีรักษาจิตนั้นก็รักษาดวยสติดังกลาวมา ทานเปรียบวา สตินั้นเปนเหมือนเชือกจะรักษาจิต ไวใหอยูกับที่ไดก็เอาเชือกนั้นผูกใจไวใจนั้นมันดิ้นรนชอบปรุงแตงคิดวุนวายฟุงซานไปกับอารมณตางๆ เหมือนกับลิง  ลิงที่อยูไมสุขกระโดดไปตามกิ่งไมจากตนไมนี้ไปตนไมโนนเรื่อยไป   พระพุทธเจาก็เลยสอนวา ใหจับลิงคือ จิตนี้เอาเชือกผูกไวกับหลัก  
          หลักคืออะไร หลักก็คือสิ่งที่ดีงามที่ไมมีการปรุงแตง  หรือถาปรุงแตงก็ใหเปนการปรุงแตงแตในทางที่ดี เชน เรื่องหลักธรรมคําสอนของพระพุทธเจาเรื่องบุญกุศล เปนตน เมื่อใจไปผูกไวกับสิ่งนั้นแลว
จิตก็อยูกับที่ก็ไมฟุงซานไมเลื่อนลอย ไมสับสนวุนวาย ถาจิตไมปรุงแตงเหลวไหลแลวก็จะหมดปญหาไป 
          วิธีการรักษาใจที่จะไมใหปรุงแตง ก็คือ อยูกับ อารมณที่ดีงามอยูกับสิ่งที่ใจยึดถือ อยางที่อาตมา ไดกลาวมา แมแตเอาคําสอนของพระพุทธเจากี่ยวกับเรื่องการเจ็บไขไดปวยมาภาวนาวา ถึงกายของเราจะปวยแตใจของเราจะไมปวยไปดวย หรือจะภาวนาสั้นๆบอกวา เจ็บไขแตกายแตใจไมเจ็บไขดวย ปวยแตกายใจไมปวย ภาวนาแคนี้จิตก็ไม่ฟุงซานไมมีการปรุงแตง  
          เมื่อไมมีการปรุงแตงจิตก็ไมติดขัดไมถูกบีบ จิตไมถูกบีบคั้นก็ไมมีความทุกข จะมีความปลอด โปรงผองใส ไมถูกครอบงําดวยทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น  
          นอกจากผูกจิตไวกับสิ่งที่ดีงาม หรือคําสอนของพระพุทธเจาอยางที่กลาวมาแลว ก็คือการที่วา ใหจิตนั้นไมมีกังวลกับสิ่งตางๆไมปลอยใจใหลองลอยไปกับความคิดนึกทั้งหลาย หรือความหวงกังวลภายนอก รักษาใจใหอยูภายใน ถาไมรักษาใจไวกับคําสอนของพระพุทธเจา หรือคําภาวนาอยางที่วาเมื่อกี้ ก็อาจจะเอาคําภาวนาอื่นๆ มาวา เชน เอาคําวา พุทโธ มา  
          คําวา “พุทโธ” นี้ เปนคําดีงามเปนพระนาม หรือชื่อของพระพุทธเจา เมื่อเอามาเปนอารมณ สําหรับใหจิตใจยึดเหนี่ยวแลวจิตใจก็จะไดไมฟุงซานเลื่อนลอยไป แลวจิตใจนี้ก็จะเปนจิตใจที่ดีงามผองใส เพราะวาพระนามของพระพุทธเจานั้น เปนพระนามของผูบริสุทธิ์ เปนพระนามที่แสดงถึงปญญาความรู ความเขาใจ ความตื่น และความเบิกบาน  
          คําวา “พุทโธ” นั้น แปลวา รูตื่นเบิกบาน พระพุทธเจานั้นทรงรูความจริงของสิ่งทั้งหลาย รูสังขาร รูโลกและชีวิตนี้ตามความเปนจริง มีปญญาที่จะแกทุกขใหกับคนทั้งหลาย เมื่อรูแลวพระองคก็ตืน ตื่นจากความหลับไหลตางๆ ไมมีความลุมหลงมัวเมายึดติดในสิ่งทั้งหลาย เมื่อตื่นขึ้นมาแลวไมมีความลุมหลงมัวเมาก็มีแตความเบิกบาน เมื่อเบิกบานก็มีความสุขจิตใจปลอดโปรงในความสุข จึงเปนแบบอย่างให้แก่เราทั้งหลายวา เราทั้งหลายจะตองมีความรูเขาใจสังขารตามความเปนจริง จะตองมีความตื่นไมหลงไหลในสิ่งตางๆ ไมยึดติดถือมั่นในสิ่งทั้งหลาย แลวก็มีความเบิกบานใจ ปลอดโปรงใจ เอาอันนี้ไวเปนคติเตือนใจ แลวตอจากนั้นก็ภาวนาคําวา พทุโธ  วา พุท แลวก็วา โธ  
          ถากําหนดลมหายใจได ก็สามารถที่จะวากํากับลงไปกับลมหายใจ เวลาหายใจเขาก็วา พุท เวลาหายใจออกก็วา โธ   หรือไมกํากับอยูกับลม หายใจก็วาไปเรื่อยๆ นึกในใจวา พุท-โธ เปน จังหวะๆ ไป                เมื่อจิตผูกรวมอยูในคําวาพุทโธก็ไมฟุงซาน และไมมีการปรุงแตง เมื่อไมฟุงซานปรุงแตง จิตก็ อยูเปนหลัก เมื่อจิตอยูเปนหลักมีความสงบมั่นคงแนวแน ก็ไมเปนจิตที่เศราหมอง แตจะมีความเบิกบาน จะมีความผองใสก็มีความสุข แลวอยางนี้ก็จะถือไดวาเปนการปฏิบัติตามหลักที่วา จิตใจไมปวยนี้ก็เปนวิธีการตางๆ ในการที่จะรักษาจิตใจ  
          อาตมากลาวไวนี้ก็เปนตัวอยางเรื่องหนึ่งในการที่จะรักษาจิตดวยสติ โดยเอาสติเปนเชือกผูกจิต ไวกับอารมณ เชนคําวา พุทโธ เปนตน จิตใจจะไดมีหลักไมฟุงซานเลื่อนลอย มีความสงบเบิกบานผอง ใส ดังที่กลาวมา  
          อาตมาขอสงเสริมกําลังใจใหโยมมีจิตใจที่สงบ มีจิตใจที่แนวแนผูกรวมอยูกับคําวา ถึงกายจะปวย แตใจไมปวย หรือผูกพันกําหนดแนวแนอยูกับ คําภาวนาวา พุทโธ แลวก็ใหมีจิตใจเบิกบานผองใส อยูตลอดเวลา  
          วันนี้อาตมาก็เอาใจชวยขอใหโยมมีความเบิกบานผองใส ตลอดกาล ทกุเวลา เทอญฯ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น