พระพุทธเจ้าจึงสอนว่าหากใครพิจารณาโดยเอาความทุกข์เป็นฐานเอาความทุกข์เป็นสิ่งที่เราสังเกตอย่างใกล้ชิด ให้เราพยายามที่จะเข้าใจให้ทะลุในภาษาบาลี ท่านเรียกว่อัปปณิหิตะหรืออัปปณิหิตสมาธิคือ การเจริญสมาธิด้วยการยกความทุกข์ เป็นแง่พิจารณาความรู้สึกที่เกิดขึ้นจะเย็นปราศจากความอยากได้การหลุดพ้นของจิตหรืออัปปณิหติวิโมกข์ ก็มีลักษณะธรรมชาติที่เยือกเย็นปราศจากความอยากได้เช่นเดียวกัน
มันขึ้นอยู่กับบุคคลว่า จะสนใจจุดไหนแง่มุมอะไร อาตมาคิดว่า การปฏิบัติภาวนาของหลวงพ่อชาท่านคงเน้นที่อนิจจัง เพราะเวลาท่านสอนส่วนมากก็จะกลับมาที่จุดนี้ ไม่ใช่ว่าท่านไม่ได้สอนอย่างอื่นแต่โดยส่วนมากท่านก็จะกลับมาจุดนี้
จะเป็นอนิจจังก็ดี เป็นทุกขังก็ดี เป็นอนัตตาก็ดี มันไม่มีผิดสักอย่าง ขึ้นอยู่กับความสนใจความพอใจของแตล่ะคนจะแยกจดุใดจดุหนึ่งมันก็แยกไม่ออก เพราะว่ามันเป็นความจริงอันเดียวกัน แต่มันจะแสดงออกในลักษณะต่างกัน บาทีก็แสดงออกในแบบอนิจจัง บางทีก็แบบทุกขัง บางทีก็แบบอนัตตา แต่ก็เป็นความจริงเดียวกัน แล้วแต่มุมมองและความพอใจของเราเราก็ให้ความสนใจกับจุดใดจุดหนึ่งตามที่เราเห็นสมควร
ส่วนอนัตตา เมื่อพูดเรื่องอนัตตาบางคนก็จะชอบสับสนว่ามันจะเป็นอนัตตาได้อย่างไร น้ำหนักเราก็ตั้งหกสิบกิโลมันจะไม่มีอะไรได้อย่างไร อนัตตาคือ มันไม่ได้เป็นของๆเราในลักษณะที่ว่าเราไม่สามารถที่จะบังคับมัน เมื่อพระพุทธเจ้าสอนเรื่องอนัตตาเป็นครั้งแรก ท่านแสดงอนัตตลักขณสูตรแก่ปัญจวัคคีย์โดยท่านยกเป็นคำถามว่า ร่างกายของเรานี้เราสามารถที่จะตั้งความปรารถนา อย่าให้เป็นอย่างนี้ อยากให้เป็นอย่างโน้นไม่อยากให้ร่างกายแก่ไม่อยากให้ร่างกายเจ็บปวดไม่อยากให้ร่างกายตายทำได้ไหมมันก็ทำไม่ได้เพราะอะไร ก็เพราะมันไม่ได้เป็นของเรามันเป็นอาการของธรรมชาติจิตใจก็เช่นเดียวกันเราจะสั่งมันไม่ให้มันเปลี่ยนแปลงไม่ให้มันเกิดอาการแปรปรวนมันก็เป็นไปไม่ได้
คิดดูว่าอีกไม่กี่วันก็จะเข้าปีใหม่ไม่รู้ว่าสักกี่คนจะได้ตั้งจิตอธิษฐานในวันปีใหม่ มันจะแน่ขนาดไหนเพราะมันเป็นของไม่เที่ยงมันเป็นอนัตตา ในที่สุดมันก็ไม่ได้เป็นตัวเราที่เราจะสามารถบังคับได้ตามใจชอบไม่ได้เป็นของเราไม่ได้เป็นของของเรา
แม้ไม่ได้เป็นของเราก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่มีหน้าที่อะไร คือ โดยสมมติสัจจะเรามีหน้าที่เหมอืนที่มีคนถามหลวงพ่อชาว่า สัมมาทิฏฐิคืออะไร ท่านก็ยกแก้วน้ำขึ้นมาและว่าสัมมาทิฏฐิคือ รู้ว่าแก้วนี้เป็นแก้วแตก แต่ถึงจะเป็นแก้วแตกก็ไม่ใช่ว่าเราควรจะเร่งให้มันแตก และก็ไม่ใช่่าเราไม่มีหน้าที่ในการดูแลรักษา ก็เช่นเดียวกันอันนี้มันเป็นของธรรมชาติ ไม่ใช่ว่าเออ...แก้วนี้เป็นของเรา เราก็จะรักษาไว้ให้ดีให้มันอยู่กับเราตลอดไปจะไมย่อมให้มันแตก ผ่านไปสักระยะหนึ่งเราทำมันตกแตกเราก็โกรธเสียอกเสียใจ แก้วของเรามันแตกไปแล้ว คือ เรามีหน้าที่ใช้มันให้เป็นประโยชน์และดูแลรักษาตราบที่มันยังอยู่กับเรา แต่เรื่องที่จะครอบครองให้มันถูกใจเราตลอดไปนั้น มันย่อมเป็นไปไม่ได้
ร่างกายนี้จิตใจนี้ก็เช่นเดียวกันเราต้องดูแลร่างกายดูแลสุขภาพ ที่จริงงานดูแลร่างกายก็ไม่ใช่ง่ายการทำให้ร่างกายสมดุลและมีสุขภาพดี เราก็ต้องดูแลอย่างสม่ำเสมอ จิตใจก็เช่นเดียวกันการรักษาสุขภาพของจิตใจคือ การรักษาจิตใจให้มีความเบิกบานแจ่มใสไม่ปล่อยให้เศร้าหมอง แต่เราต้องระลึกอยู่เสมอว่ามันไม่ได้เป็นของเรา หากเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่เรามีหน้าที่ในการดูแลและเราก็ต้องรักษาไว้ให้ดีจะได้เป็นประโยชน์ตนจะได้เป็นประโยชน์ผู้อื่น
การพิจารณาในหลักอนัตตาพระพุทธเจ้าเรียกว่า ธัมมานุธัมปฏิปัตติคือ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมเป็นข้อสุดท้ายในหมวดธรรมวุฒิ๔ ซึ่งเป็นคุณธรรมให้เกิดความงอกงามแห่งปัญญาสมควร สำหรับการเข้าสู่กระแสแห่งธรรมะคือ เป็นพระโสดาบัน ซึ่งได้แก่
๑ สัปปุริสสังเสวะ การคบสัตบุรุษผู้ดีผู้มีคุณธรรม๒ สัทธัมมัสสวนะ การได้ยินได้ฟังธรรมะที่ดี
๓ โยนิโสมนสิการ การใคร่ครวญโดยหลักธรรม
และ ๔ ธัมมานุธัมปฏิปัตติปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมคือ ปฏิบัติให้สอดคล้อง กับความเป็นจริงสอดคล้องกับความถูกต้อง
เพราะว่าการปฏิบัติธรรมทำได้หลายรูปแบบเหลือเกิน คนปฏิบัติธรรมที่วุ่นวายก็มีคนปฏิบัติธรรมแล้วเกิดทิฐิมานะก็มี คนปฏิบัติธรรมแล้วทะเลาะกันก็มี มันหลากหลายแต่เราควรปฏิบัติเพื่อให้เกิดความเยือกเย็น ปลอดโปร่ง ปราศจากเครื่องเศร้าหมอง อย่างนี้จึงจะเป็นการปฏิบัติธรรมอันสมควรแก่ธรรม ทำให้คุณธรรมเกิดขึ้นในจิตใจของเรา
ในพระสูตรหนึ่งพระพุทธเจ้าถามขึ้นว่า ธัมมานุธัมปฏิปัตติ เราควรจะปฏิบัติอย่างไร แล้วท่านก็ตอบเองว่า ต้องเป็นการปฏิบัติเพื่อสร้างนิพพิทาต่อขันธ์๕ ทั้ง รูปเวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ คือ เราปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้สึกว่า นิพพิทา
นิพพิทาเป็นธรรมะข้อหนึ่งที่บางทีบางคนตีความไม่ถูก เพราะนิพพิทาแปลว่า เบื่อหน่าย ซึ่งถ้าเราใช้คำศัพท์ว่า เบื่อหน่าย เรารู้สึกอิ่มเอิบไหมรู้สึกปลอดโปร่งไหม เราก็ไม่รู้สึกอย่างนั้นใช่ไหม ถ้าเช่นนั้นมันก็ไม่ใช่นิพพิทานี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจ
เมื่อเช้านี้อาตมาได้พูดถึงข้อธรรมะที่สร้างความสุขในจิตใจในขณะปฏิบัติภาวนา ได้แก่ ความปราโมทย์ แล้วความปราโมทย์ก็เป็นเหตุให้เกิดปีติปีติ เป็นเหตุให้เกิด ปัสสัทธิ ความคลี่คลาย ปัสสัทธิความคลี่คลายทำให้เกิดความสุขซึ่งเป็นลักษณะของจิตเบิกบาน มีความสุขแล้วความสุขก็เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสมาธิ ซึ่งแต่ละขั้นๆ ก็ยิ่งเบิกบานยิ่งแจ่มใส สมาธิ คือ จิตที่ตั้งมั่นปลอดโปร่ง ทำให้สามารถที่จะรู้เห็นตามความเป็นจริงอย่างที่ภาษาบาลีว่า ยถภตูญาณทัสสนะ เมื่อรู้เห็นตามความเป็นจริง ก็จะมีความรู้สึกซาบซึ้ง และโดยการรู้เห็นตามเป็นจริงนี้ นิพพิทา จึงเกิดขึ้น
นี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะจะแปลนิพพิทาว่า ความเบื่อหน่าย บางทีมันก็ไม่ถูก แม้แต่แปลเป็นภาษาอังกฤษก็ไม่ใช่ว่าจะถูกเหมือนกัน มันเป็นคำศัพท์ที่แปลยาก เพราะว่ามันตรงกันข้ามกับความรู้สึกของมนุษย์เราคือ ปกติมนุษย์เราชอบและต้องการความตื่นเต้นชอบสุขสบายชอบเพลิดเพลิน แต่นิพพิทากลับเป็นว่ายิ่งเห็นตามความเป็นจริงจิตใจยิ่งเบิกบานยิ่งแจ่มใส จิตยิ่งไม่เอาสิ่งที่เคยชอบคือ มันจะเหนื่อยหน่ายไม่อยากจะลงทุนกำลังใจกำลังกายในสิ่งที่ไม่ตอบแทนด้วยความปลอดโปรง่ มันจึงไม่อยากทำไม่อยากเอา นี่คือ นิพพิทา คือ มันจะถอยออกเลยมันจะถอย เพราะ ห็นแล้วว่ามันไม่คุ้มค่าแต่ที่แน่ๆคือ จิตมันอิ่มเอิบเบิกบาน
แล้วเมื่อเห็นตามความเป็นจริงอย่างที่อาตมาสอนเมื่อสักครู่ว่า คุณธรรม อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น คือเมตตากรุณา มันเป็นเรื่องธรรมชาติเรามีเมตตากรุณาเราก็จะเมตตาตัวเองไม่อยากจะทำอะไรที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง เราเมตตาผู้อื่นเราก็ไม่อยากจะทำอะไรที่กระทบกระเทือนผู้ใดคือ มันจะเบื่อหน่ายในลักษณะนี้
อีกแง่หนึ่งคือ เราจะไม่เพลิดเพลินในรสชาติของโลก มันไม่น่าตื่นเต้นเพราะ รสชาติของมันไม่ได้ให้ความอิ่มใจ นี่เป็นส่วนที่นิพพิทาเป็นเหตุวิมุตติจึงเกิดขึ้นอันนี้ คือ พูดตามกระบวนการที่พระพุทธเจ้าสอนความหลุดพ้นจึงเกิดขึ้น
ฉะนั้น เรื่องนิพพิทาจึงไม่ใช่เรื่องเล็กนะ มันเป็นเรื่องใหญ่และน่าสนใจ เราควรสนใจสังเกตว่ารูปร่างกายก็ดี เวทนาความรู้สึกก็ดี สัญญาความทรงจำและสำคัญมั่นหมายก็ดี สังขารการคิดนึกและอารมณ์ในจิตใจก็ดีวิญญาณการรับรู้ตามอายตนะของเรา มักจะเป็นสิ่งที่หลอกลวงเรา เราต้องทั้งระมัดระวังทั้งต้องใช้สติปัญญา เลยเป็นส่วนที่เราตั้งข้อสังเกตที่ทำให้นิพพิทาต่อรูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คือ ขันธ์๕
พระพุทธเจ้าบอกว่า เมื่อเราได้ตั้งนิพพิทาต่อรูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ การถอยออกมาด้วยความเบื่อหน่ายช่วยให้เราเข้าใจอย่างชัดเจนว่ารูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คือ อะไร มันชอบหลอกเราอย่างไรเราจะใช้ประโยชน์ได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าต้องมองในแง่ไม่ดีจึงจะเข้าใจหากเราต้องมองด้วยจิตใจว่าเราจะสามารถนำประโยชน์มาสู่ตัวเองและสู่ผู้อื่นได้โดยอาศัยขันธ์๕ ฉะนั้น เราต้องเข้าใจ และต้องรู้จักใช้ให้เป็น
และเมื่อเราเข้าใจรูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างแจ่มชัดเราก็จะได้เป็นผู้พ้นจากรูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้น พระพุทธเจ้าท่านว่านี่คือ ธัมมานุธัมปฏิปัตติ โดยเราเอาหลักอนัตตาเป็นฐานในการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่เราควรจะคิดอย่างที่เราได้สวดในตอนเช้า ที่ว่า ภารา หะเว ปัญจักขันธา ขันธ์๕ เป็นภาระ มันเป็นของหนักผู้ที่เข้าถึงธรรมะเป็นผู้ที่ไม่แบกของหนักแล้วเราควรคิดในลักษณะนี้ ทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นผู้ที่แบกของหนัก เราก็ให้โอกาสกับตัวเองเพราะ การแบกของหนักนั้น เราสมัครเองที่จะแบกเอาไว้เหมือนที่หลวงพ่อชาท่านเคยถามเวลาเดินผ่านหินว่า
หินมันหนักไหม ลูกศิษย์ก็ว่าโอ...มันเป็นหินก้อนใหญ่หนักครับ
ท่านจึงว่าถ้าเราไม่ยกมันขึ้นมันก็ไม่หนักหรอก
มันก็เป็นเช่นนั้นแหละเราก็รู้อยู่ว่าอะไรเป็นอะไรก็แล้วแต่เราที่จะต้องใช้สติปัญญาว่า เราจะยกหรือไม่ยกเราจะแบกหรือไม่แบก
วันนี้อาตมาก็ฝากเอาไว้เป็นข้อคิดในธรรมะพอสมควรแล้ว
พระอาจารย์ปสันโน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น