วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม (ต่อ)

          พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า​หากใครพิจารณาโดยเอาความทุกข์เป็นฐาน​เอาความทุกข์เป็นสิ่งที่เราสังเกตอย่างใกล้ชิด​ ให้เราพยายามที่จะเข้าใจให้ทะลุ​ในภาษาบาลี​ ท่านเรียกว่​อัปปณิหิตะ​หรือ​อัปปณิหิตสมาธิ​คือ​ การเจริญสมาธิด้วยการยกความทุกข์ เป็นแง่พิจารณา​ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจะเย็น​ปราศจากความอยากได​้การหลุดพ้นของจิตหรืออัปปณิหติวิโมกข์​ ก็มีลักษณะธรรมชาติที่เยือกเย็นปราศจากความอยากได้​เช่นเดียวกัน 
          มันขึ้นอยู่กับบุคคลว่า จะสนใจจุดไหน​แง่มุมอะไร​ อาตมาคิดว่า​ การปฏิบัติภาวนาของหลวงพ่อชา​ท่านคงเน้นที่อนิจจัง ​เพราะเวลาท่านสอน​ส่วนมากก็จะกลับมาที่จุดนี้​ ไม่ใช่ว่าท่านไม่ได้สอนอย่างอื่น​แต่โดยส่วนมาก​ท่านก็จะกลับมาจุดนี้​ 
          จะเป็นอนิจจังก็ดี เป็นทุกขังก็ดี เป็นอนัตตาก็ดี มันไม่มีผิดสักอย่าง ขึ้นอยู่กับความสนใจความพอใจของแตล่ะคน​จะแยกจดุใดจดุหนึ่งมันก็แยกไม่ออก ​เพราะว่ามันเป็นความจริงอันเดียวกัน แต่มันจะแสดงออกในลักษณะต่างกัน บาทีก็แสดงออกในแบบอนิจจัง บางทีก็แบบทุกขัง บางทีก็แบบอนัตตา แต่ก็เป็นความจริงเดียวกัน แล้วแต่มุมมองและความพอใจของเรา​เราก็ให้ความสนใจกับจุดใดจุดหนึ่งตามที่เราเห็นสมควร​
          ส่วนอนัตตา​ เมื่อพูดเรื่องอนัตตา​บางคนก็จะชอบสับสนว่า​มันจะเป็นอนัตตาได้อย่างไร ​น้ำหนักเราก็ตั้งหกสิบกิโล​มันจะไม่มีอะไรได้อย่างไร ​อนัตตา​คือ ​มันไม่ได้เป็นของๆ​เราในลักษณะที่ว่า​เราไม่สามารถที่จะบังคับมัน ​เมื่อพระพุทธเจ้าสอนเรื่องอนัตตาเป็นครั้งแรก​ ท่านแสดงอนัตตลักขณสูตรแก่ปัญจวัคคีย​์โดยท่านยกเป็นคำถามว่า​ ร่างกายของเราน​ี้เราสามารถที่จะตั้งความปรารถนา​ อย่าให้เป็นอย่างน​ี้ อยากให้เป็นอย่างโน้น​ไม่อยากให้ร่างกายแก​่ไม่อยากให้ร่างกายเจ็บปวด​ไม่อยากให้ร่างกายตาย​ทำได้ไหม​มันก็ทำไม่ได​้เพราะอะไร ​ก็เพราะมันไม่ได้เป็นของเรา​มันเป็นอาการของธรรมชาต​ิจิตใจก็เช่นเดียวกัน​เราจะสั่งมันไม่ให้มันเปลี่ยนแปลง​ไม่ให้มันเกิดอาการแปรปรวน​มันก็เป็นไปไม่ได้ 
          คิดดูว่า​อีกไม่กี่วันก็จะเข้าปีใหม​่ไม่รู้ว่าสักกี่คนจะได้ตั้งจิตอธิษฐานในวันปีใหม​่ มันจะแน่ขนาดไหน​เพราะมันเป็นของไม่เที่ยง​มันเป็นอนัตตา​ ในที่สุดมันก็ไม่ได้เป็นตัวเราที่เราจะสามารถบังคับได้ตามใจชอบ​ไม่ได้เป็นของเรา​ไม่ได้เป็นของของเรา​ 
          แม้ไม่ได้เป็นของเรา​ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่มีหน้าที่อะไร​ คือ โดยสมมติสัจจะ​เรามีหน้าที่​เหมอืนที่มีคนถามหลวงพ่อชาว่า สัมมาทิฏฐิคืออะไร ท่านก็ยกแก้วน้ำขึ้นมาและว่าสัมมาทิฏฐิคือ รู้ว่าแก้วนี้เป็นแก้วแตก แต่ถึงจะเป็นแก้วแตกก็ไม่ใช่ว่าเราควรจะเร่งให้มันแตก และก็ไม่ใช่่าเราไม่มีหน้าที่ในการดูแลรักษา ก็เช่นเดียวกันอันนี้มันเป็นของธรรมชาติ​ ไม่ใช่ว่า​เออ...​แก้วนี้เป็นของเรา เราก็จะรักษาไว้ให้ดีให้มันอยู่กับเราตลอดไป​จะไมย่อมให้มันแตก ผ่านไปสักระยะหนึ่งเราทำมันตกแตกเราก็โกรธเสียอกเสียใจ แก้วของเรามันแตกไปแล้ว คือ เรามีหน้าที่ใช้มันให้เป็นประโยชน์และดูแลรักษาตราบที่มันยังอยู่กับเรา แต่เรื่องที่จะครอบครองให้มันถูกใจเราตลอดไปนั้น มันย่อมเป็นไปไม่ได้​ 
         ร่างกายนี้​จิตใจนี้​ก็เช่นเดียวกัน​เราต้องดูแลร่างกาย​ดูแลสุขภาพ​ ที่จริงงานดูแลร่างกายก็ไม่ใช่ง่าย​การทำให้ร่างกายสมดุลและมีสุขภาพดี​ เราก็ต้องดูแลอย่างสม่ำเสมอ​  จิตใจก็เช่นเดียวกัน​การรักษาสุขภาพของจิตใจ​คือ การรักษาจิตใจให้มีความเบิกบานแจ่มใส​ไม่ปล่อยให้เศร้าหมอง ​แต่เราต้องระลึกอยู่เสมอว่า​มันไม่ได้เป็นของเรา​ หากเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่เรามีหน้าที่ในการดูแล​และเราก็ต้องรักษาไว้ให้ด​ีจะได้เป็นประโยชน์ตน​จะได้เป็นประโยชน์ผู้อื่น​ 
          การพิจารณาในหลักอนัตตา​พระพุทธเจ้าเรียกว่า​ ธัมมานุธัมปฏิปัตติ​คือ​ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม​เป็นข้อสุดท้ายในหมวดธรรม​วุฒิ​๔​ ซึ่งเป็นคุณธรรมให้เกิดความงอกงามแห่งปัญญา​สมควร สำหรับการเข้าสู่กระแสแห่งธรรมะ​คือ เป็นพระโสดาบัน​  ซึ่งได้แก่ 
          ๑ ​สัปปุริสสังเสวะ  ​การคบสัตบุรุษผู้ด​ีผู้มีคุณธรรม​
          ๒​ สัทธัมมัสสวนะ​  การได้ยินได้ฟังธรรมะที่ดี​
          ๓​ โยนิโสมนสิการ​  การใคร่ครวญโดยหลักธรรม​
     และ​ ๔​ ธัมมานุธัมปฏิปัตต​ิปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม​คือ  ปฏิบัติให้สอดคล้อง กับความเป็นจริง​สอดคล้องกับความถูกต้อง​ 
          เพราะว่าการปฏิบัติธรรมทำได้หลายรูปแบบเหลือเกิน ​คนปฏิบัติธรรมที่วุ่นวายก็มีคนปฏิบัติธรรมแล้วเกิดทิฐิมานะก็มี คนปฏิบัติธรรมแล้วทะเลาะกันก็มี มันหลากหลาย​แต่เราควรปฏิบัติเพื่อให้เกิดความเยือกเย็น​ ปลอดโปร่ง​ ปราศจากเครื่องเศร้าหมอง​ อย่างนี้จึงจะเป็นการปฏิบัติธรรมอันสมควรแก่ธรรม​ ทำให้คุณธรรมเกิดขึ้นในจิตใจของเรา 
          ในพระสูตรหนึ่งพระพุทธเจ้าถามขึ้นว่า​ ธัมมานุธัมปฏิปัตติ ​เราควรจะปฏิบัติอย่างไร ​แล้วท่านก็ตอบเองว่า ​ต้องเป็นการปฏิบัติเพื่อสร้างนิพพิทาต่อขันธ์​๕​ ทั้ง รูป​เวทนา​ สัญญา​ สังขาร​และวิญญาณ​ คือ​ เราปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้สึกว่า​ นิพพิทา​ 
          นิพพิทา​เป็นธรรมะข้อหนึ่งที่บางทีบางคนตีความไม่ถูก เพราะนิพพิทาแปลว่า ​ เบื่อหน่าย​  ซึ่งถ้าเราใช้คำศัพท์ว่า ​เบื่อหน่าย ​เรารู้สึกอิ่มเอิบไหม​รู้สึกปลอดโปร่งไหม​ เราก็ไม่รู้สึกอย่างนั้นใช่ไหม​ ถ้าเช่นนั้นมันก็ไม่ใช่นิพพิทา​นี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจ​ 
          เมื่อเช้านี้อาตมาได้พูดถึงข้อธรรมะที่สร้างความสุขในจิตใจในขณะปฏิบัติภาวนา​ ได้แก่​ ความปราโมทย์​ แล้วความปราโมทย์ก็เป็นเหตุให้เกิดปีติ​ปีติ เป็นเหตุให้เกิด ปัสสัทธิ​ ความคลี่คลาย ​ปัสสัทธิ​ความคลี่คลาย​ทำให้เกิดความสุขซึ่งเป็นลักษณะของจิตเบิกบาน มีความสุขแล้วความสุขก็เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสมาธิ ซึ่งแต่ละขั้นๆ ก็ยิ่งเบิกบานยิ่งแจ่มใส ​สมาธิ ​คือ จิตที่ตั้งมั่นปลอดโปร่ง ทำให้สามารถที่จะรู้เห็นตามความเป็นจริงอย่างที่ภาษาบาลีว่า  ​ยถภตูญาณทัสสนะ  เมื่อรู้เห็นตามความเป็นจริง ก็จะมีความรู้สึกซาบซึ้ง และโดยการรู้เห็นตามเป็นจริงนี้  นิพพิทา จึงเกิดขึ้น​ 
          นี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจ​ เพราะจะแปลนิพพิทาว่า ความเบื่อหน่าย บางทีมันก็ไม่ถูก​ แม้แต่แปลเป็นภาษาอังกฤษก็ไม่ใช่ว่าจะถูกเหมือนกัน​ มันเป็นคำศัพท์ที่แปลยาก​ เพราะว่ามันตรงกันข้ามกับความรู้สึกของมนุษย์เรา​คือ ​ปกติมนุษย์เราชอบและต้องการความตื่นเต้น​ชอบสุขสบาย​ชอบเพลิดเพลิน​ แต่นิพพิทากลับเป็นว่า​ยิ่งเห็นตามความเป็นจริง​จิตใจยิ่งเบิกบาน​ยิ่งแจ่มใส​ จิตยิ่งไม่เอาสิ่งที่เคยชอบ​คือ มันจะเหนื่อยหน่ายไม่อยากจะลงทุนกำลังใจกำลังกายในสิ่งที่ไม่ตอบแทนด้วยความปลอดโปรง่​ มันจึงไม่อยากทำ​ไม่อยากเอา​ นี่คือ นิพพิทา​ คือ มันจะถอยออกเลย​มันจะถอย เพราะ ห็นแล้วว่า​มันไม่คุ้มค่า​แต่ที่แน่ๆ​คือ​ จิตมันอิ่มเอิบเบิกบาน​ 
          แล้วเมื่อเห็นตามความเป็นจริง​อย่างที่อาตมาสอนเมื่อสักครู่ว่า​ คุณธรรม อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น คือ​เมตตากรุณา ​มันเป็นเรื่องธรรมชาต​ิเรามีเมตตากรุณา​เราก็จะเมตตาตัวเอง​ไม่อยากจะทำอะไรที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง​ เราเมตตาผู้อื่น​เราก็ไม่อยากจะทำอะไรที่กระทบกระเทือนผู้ใด​คือ มันจะเบื่อหน่ายในลักษณะนี้​ 
          อีกแง่หนึ่งคือ ​เราจะไม่เพลิดเพลินในรสชาติของโลก​ มันไม่น่าตื่นเต้น​เพราะ รสชาติของมันไม่ได้ให้ความอิ่มใจ​ นี่เป็นส่วนที่นิพพิทาเป็นเหต​ุวิมุตติจึงเกิดขึ้น​อันนี้ คือ พูดตามกระบวนการที่พระพุทธเจ้าสอน​ความหลุดพ้นจึงเกิดขึ้น​ 
          ฉะนั้น ​เรื่องนิพพิทาจึงไม่ใช่เรื่องเล็กนะ​ มันเป็นเรื่องใหญ่และน่าสนใจ​ เราควรสนใจสังเกตว่า​รูป​ร่างกายก็ดี ​เวทนา​ความรู้สึกก็ดี ​สัญญา​ความทรงจำและสำคัญมั่นหมายก็ด​ี  สังขาร​การคิดนึกและอารมณ์ในจิตใจก็ดี​วิญญาณ​การรับรู้ตามอายตนะของเรา​ มักจะเป็นสิ่งที่หลอกลวงเรา​ เราต้องทั้งระมัดระวัง​ทั้งต้องใช้สติปัญญา ​เลยเป็นส่วนที่เราตั้งข้อสังเกตที่ทำให้นิพพิทาต่อรูป​เวทนา​ สัญญา​ สังขาร​ วิญญาณ ​คือ​ ขันธ์​๕​ 
          พระพุทธเจ้าบอกว่า​ เมื่อเราได้ตั้งนิพพิทาต่อรูป​เวทนา​ สัญญา ​สังขาร ​วิญญาณ ​การถอยออกมาด้วยความเบื่อหน่าย​ช่วยให้เราเข้าใจอย่างชัดเจนว่า​รูป​เวทนา​ สัญญา​ สังขาร​ วิญญาณ ​คือ อะไร มันชอบหลอกเราอย่างไร​เราจะใช้ประโยชน์ได้อย่างไร​ ไม่ใช่ว่าต้องมองในแง่ไม่ดีจึงจะเข้าใจ​หากเราต้องมองด้วยจิตใจ​ว่าเราจะสามารถนำประโยชน์มาสู่ตัวเองและสู่ผู้อื่นได้โดยอาศัยขันธ์​๕  ​ฉะนั้น ​เราต้องเข้าใจ และต้องรู้จักใช้ให้เป็น​
           และเมื่อเราเข้าใจรูป​เวทนา ​สัญญา​ สังขาร​ วิญญาณ​ อย่างแจ่มชัด​เราก็จะได้เป็นผู้พ้นจากรูป​เวทนา​ สัญญา​ สังขาร​ วิญญาณ นั้น  ​พระพุทธเจ้าท่านว่า​นี่คือ​ ธัมมานุธัมปฏิปัตติ โดยเราเอาหลักอนัตตาเป็นฐานในการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม​ ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่เราควรจะคิดอย่างที่เราได้สวดในตอนเช้า ที่ว่า ​ภารา หะเว ปัญจักขันธา ขันธ์​๕​  เป็นภาระ​ มันเป็นของหนัก​ผู้ที่เข้าถึงธรรมะเป็นผู้ที่ไม่แบกของหนักแล้ว​เราควรคิดในลักษณะนี้ ทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นผู้ที่แบกของหนัก เราก็ให้โอกาสกับตัวเองเพราะ การแบกของหนักนั้น เราสมัครเองที่จะแบกเอาไว​้เหมือนที่หลวงพ่อชาท่านเคยถามเวลาเดินผ่านหินว่า 
          หินมันหนักไหม​ 
          ลูกศิษย์ก็ว่า​โอ...​มันเป็นหินก้อนใหญ​่หนักครับ​ 
          ท่านจึงว่า​ถ้าเราไม่ยกมันขึ้น​มันก็ไม่หนักหรอก
          มันก็เป็นเช่นนั้นแหละ​เราก็รู้อยู่ว่าอะไรเป็นอะไร​ก็แล้วแต่เราที่จะต้องใช้สติปัญญาว่า ​เราจะยกหรือไม่ยก​เราจะแบกหรือไม่แบก 
          วันนี้อาตมาก็ฝากเอาไว้เป็นข้อคิดในธรรมะพอสมควรแล้ว

พระอาจารย์ปสันโน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น