เรื่องจิต คือ ผู้รู้ความรู้สึกหรือความสามารถของจิตที่จะรู้อารมณ์ เราต้องนำมาเป็นฐานเราต้องฝึกตัวผู้รู้นี้ให้ชัดเจน ต้องทำผู้รู้ให้เด่นขึ้นมาในจิตของเรา โดยอาศัยพุทโธผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานอย่างนี้เป็นพื้นฐานของจิตให้เป็นสภาพธรรมชาติของจิต แต่โดยปกติแล้วเรามักให้ความสำคัญและให้ความสนใจกับอารมณ์ของจิต ชอบเรื่องนนี้ก็ตื่นเต้น ไม่ชอบเรื่องนี้ก็เกลียด ได้ของถูกก็ดีใจยิ้มสบายหัวเราะ ไม่ถูกใจก็ร้องไห้ มันขึ้นๆลงๆ ตามอารมณ์ อย่างนี้ภาษาอีสานเขาว่า ผีบ่างมันไว้ใจไม่ได้นะ
เราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อให้เป็นโรคประสาทเราปฏิบัติเพื่อให้เป็นคนปกติ ปฏิบัติเพื่อเป็นคนที่มีความมั่นคงเราต้องฝึกไว้หัดไว้สิ่งที่เราอาศัยมันก็ไม่ใช่อะไรอื่นไกล หากอยู่ที่ความสามารถของเราเองที่จะรู้ลมหายใจเข้ารู้ลมหายใจออก รู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นว่าชอบหรือไม่ชอบเป็นสุขหรือเป็นทุกข์เราก็รู้อยู่และอาศัยผู้รู้นี้เราก็รู้ว่า สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นสิ่งนี้กำลังดับไป เป็นสิ่งที่เรารู้ความสามารถตามธรรมชาติของมนุษย์ เราก็มีอยู่แล้วมันไม่ได้เป็นเรื่องห่างไกลตัว
ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่สิ่งที่ห่างไกลจากเราหากเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว แต่ทำอย่างไรจึงจะได้อาศัยพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นสรณะ ถ้าหากว่าเรามัวแต่เน้นสิ่งที่อยู่นอกตัวเรา ก็อาจจะไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร ดังนั้นเราจึงต้องน้อมธรรมะเข้ามา อย่างที่เมื่อเราสวดระลึกถึงคุณของพระธรรมว่า “โอปนยิโก” นี่คือลักษณะของธรรมะของพระพุทธเจ้าคือ เราต้องน้อมเข้ามาใส่ตัวอยู่เสมอเมื่อน้อมเข้ามาเราก็ได้เห็นเราก็ได้รู้เราก็ได้สัมผัสเราก็เข้าใจมากขึ้น เมื่อเข้าใจมากขึ้นเราก็สามารถที่จะเลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์ ถ้าเราสามารถที่จะเลือกจริงๆเราก็จะเลือกความสุขไม่เลือกความทุกข์จะเลือกความสงบไม่เลือกความวุ่นวาย
แต่ปัญหามีอยู่ว่าเรายังไม่สามารถที่จะเลือกและเราก็มักจะทำตามความเคยชินของตัวเองทำตามความเคยชินของสังคมภายนอกทำตามกระแสของสิ่งที่มากระทบ นั่นเป็นเพราะเรายังไม่มีหลักเพียงพอจึงถูกชักลากไปจึงเป็นเรื่องที่เราจะต้องฝึกตัวเองเพื่อจะสามารถเลือกสิ่งที่ถูกต้องหากสามารถเเลือกสิ่งที่ถูกต้อง ใครล่ะจะเลือกความทุกข์ก็คงไม่เลือกหรอกความวุ่นวายก็ไม่มีใครอยากได้
นี่แหละคือ หน้าที่ของเราชาวพุทธก็ต้องพยายามที่จะฝึกตัวเองให้มีความสงบเพียงพอมีความชัดเจนเพียงพอมีสติปัญญาเพียงพอที่จะเลือกในสิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์กับตัวเอง และจะเป็นคุณเป็นประโยชน์กับผู้อื่นด้วย เพราะว่าเมื่อใดที่เราสามารถทำตัวเองให้เป็นผู้มีคุณธรรมมีความสงบก็ย่อมจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนมนุษย์ที่อยู่รอบตัวเราด้วย
เป็นเรื่องธรรมชาติเมื่อเราถามตัวเองว่าเวลาต้องเกี่ยวข้องกับคนที่ใจร้อนหรือ สับสนวุ่นวายหรือคนที่ดูแล้วไม่น่าไว้ใจ เราก็ไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับเขาเพราะ เกี่ยวข้องกับเขาแล้วมันไม่สบายใจ ฉะนั้น เมื่อเราได้ฝึกตนให้เป็นผู้มีความมั่นคงไว้ใจได้ มีความสงบเยือกเย็น มีความยิ้มแย้มแจ่มใสเบิกบาน เราเองก็สบาย คนอื่นที่เกี่ยวข้องกับเราก็สบาย นี่เป็น “การให้” ที่สำคัญ เมื่อเราเข้าใกล้ใครแล้วรู้สึกสบาย มันก็เป็นเสมือนของขวัญให้ผู้อื่นเป็นเรื่องธรรมชาติของการเป็นมนษุย์ การปฏิบัติจึงเป็นสิ่งที่ให้ผลเกิดผลจริง และผลนั้นก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะตัวเรา หากเป็นประโยชน์กว้างออกไป
การฝึกของเราอย่างที่ได้พูดแล้วว่า มันต้องมีพื้นฐานและมีเป้าหมายเราปฏิบัติเพื่อให้เป็นผู้มีสติ ผู้มีสติคือมีความรู้เท่าทันอารมณ์ ตามความหมายของหลวงพ่อชา“สติ” คือรู้เท่าทันอารมณ์ “ปัญญา” คือการรอบรู้ในอารมณ์นั้น นี่แหละหน้าที่ของสติและปัญญาเราก็ฝึกให้มีสติให้มีปัญญาจะได้รู้เท่าทันความรู้สึกที่เกิดขึ้นรู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิตใจของเราคือ รู้ว่าอารมณ์นั้นมีผลและเราก็ต้องพยายามฝึกเพื่อให้ได้ผลที่น่าปรารถนาเป็นการสร้างเหตุเอาไว้เพื่อให้เราได้อยู่อย่างสุขสบาย
เหมือนกับเมื่อเราได้สมาทานศีลแล้วพระท่านก็กล่าวอนุโมทนาว่า“สีเลนะ สุคะติงยันติ สีเลนะโภคะสัมปะทา สีเลนะนิพพุติงยันติ ตัสมาสีลังวิโสทะเย” คือศีลเป็นสิ่งที่นำความสุขมาให้ ศีลเป็นสิ่งที่ให้โภคสมบัติคือเป็นสมบัติที่ดีที่สุดของเรา ปกติคำศัพท์ว่า“สมบัติ”นี้เราก็คิดว่าเป็นเงินเป็นทองเป็นสิ่งเป็นของ แต่ในที่นี้สมบัติที่มีคุณค่าคือ สิ่งที่จะทำให้เรารู้สึกว่ามั่นคง“สีเลนะนิพพุติงยันติ” ศีลเป็นเหตุให้ดับทุกข์ได้ โดยอาศัยการฝึกการหัดเพื่อนำความสุข นำความมั่นคง นำความดับทุกข์มาให้เรา ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เราปรารถนากันทุกคน
ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี ล้วนมีเป้าหมายอันเดียวกัน ทำอย่างไรจึงจะมีความสุข ทำอย่างไรจึงจะมีความมั่นคง ทำอย่างไรจึงจะมีการดับทุกข์ที่เกิดได้ เราก็ต้องรู้ว่าวิธีการของพระพุทธเจ้านั้นท่านขอให้เราได้ลงมือฝึกลงมือหัด และอาศัยศีลสมาธิปัญญาอาศัยทานศีลภาวนาเพื่อการฝึกการหัดในวิธีการต่างๆโดยมีเป้าหมายให้เรามีสติให้มีปัญญาเมื่อมีสติมีปัญญาแล้วมันจะได้ผลเอง
เหตุมีผลก็ย่อมปรากฏไม่ต้องห่วงจนเกินไปว่า จะต้องพิจารณาแบบนี้แบบนั้นต้องพิจารณา อสุภกรรมฐาน อย่างนี้อย่างนั้นเพื่อให้ได้อานาปานสติจะต้องใช้วิธีนี้ต้องภาวนาพุทโธอย่างเดียวภาวนาสัมมาอะระหังไม่ได้ บางคนชอบคิดจุกจิกในเรื่องวิธีการโดยไม่เห็นว่าทำไปเพื่ออะไร
พูดตามความเป็นจริงเราปฏิบัติภาวนาก็เพื่อทำให้กุศลธรรมเพิ่มขึ้นอกุศลธรรมลดลง วิธีใดที่เราใช้ภาวนาวิธีใดที่เราฝึกฝนตนเองเพื่อนำธรรมะเข้ามาสู่ชีวิตประจำวันของเรา ไม่มีเครื่องตัดสินว่าทำถูกหรือทำผิด ไม่ได้อยู่ที่วิธีการไม่ได้อยู่ที่รายละเอียดของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น มันสำคัญที่สภาพของจิตใจเราว่า กุศลธรรม เพิ่มขึ้นอกุศลธรรมลดลงเท่านั้นนี่ เป็นสิ่งที่เราต้องพยายามสร้างความเข้าใจ เราจะรู้ว่าจิตเป็นกุศลหรือเป็นอกุศลได้อย่างไรมันก็ต้องดูที่สภาพของจิต บางทีเราใช้สำนวนภาษาไทยที่ว่า สร้างบุญสร้างกุศล พระพุทธเจ้าท่านได้อธิบายว่า กุศลเป็นสภาพของจิตที่ควรทำาให้เกิดขึ้น
จิตใจที่เป็นกุศล สภาพของจิตจะมีคามรู้สึกเบิกบานมีความสุขและปลอดโปร่ง ส่วนจิตที่เป็นอกุศลจะขุ่นมัวมีความทุกข์ไม่มั่นคงเหมือนมีการแทรกแซงลักษณะ ธรรมชาติของกุศลคือ จะมีความรู้สึกเยือกเย็นหนักแน่นมั่นคง ส่วนอกุศลก็จะมีลักษณะที่เรียกว่า โลเล มีนิวรณ์ ๕ เช่น ถ้ามีกามฉันทะมีความพยาบาทซึ่งเราก็พอจะเห็นได้ว่ากามจากความไม่พอใจ หรือความโกรธเป็นอกุศล หรือบางทีก็ใช้คำว่า “บาปอกุศล”แต่ความง่วงเหงาหาวนอนความฟุ้งซ่านหรือความโลเลนั้น ถ้าจะคิดว่ามันเป็นบาปก็ดูจะเกินไปแต่มันก็เป็นอกุศลในลักษณะที่ว่าจิตไม่ปลอดโปร่งไม่แจ่มใสจิตมีความเศร้าหมองไม่สุขสบายไม่สงบ
นี่เป็นหลักที่เราใช้ตัดสินว่าเราปฏิบัติถูกทางของพระพุทธเจ้าหรือไม่ คือ ต้องดูที่สภาพของจิตว่ากุศลเพิ่มขึ้น อกุศลลดลง เป็นเครื่องวัดในการฝึกหัดเราจะได้ สังเกตดูเราจะได้พอกพูนกุศลธรรมไว้ทำให้จิตใจมีกิเลสน้อยลงความเศร้าหมองน้อยลง มีความสุขมากขึ้นมีความปลอดโปร่งมากขึ้น เป็นเรื่องธรรมชาติ ถ้าเราฝึกกุศลในจิตใจให้เข้มแข็งมากขึ้นจิตใจของเราจะสุขสบายและจิตใจ เช่นนี้เป็นจิตใจที่ พร้อมจะรู้เห็นตามความเป็นจริงรู้เห็นตามความถูกต้อง เพราะจิตใจที่แจ่มใสจะสามารถแยกแยะออกว่าสิ่งไหนเป็นประโยชน์สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์ หากจิตใจของเราขุ่นมัวเศร้าหมองมันก็ยากที่จะตัดสินว่าอะไรเป็นสิ่งดีงาม
ในฐานะที่เรามาฝึกมาหัดมาปฏิบัติเราจะได้มีโอกาสนั่งสมาธิมีโอกาสที่จะเดินจงกรม มีโอกาสที่จะได้ทดลองปฏิบัติในวิธีการต่างๆ แต่อยากให้ย้ำแล้วย้ำอีกว่า วิธีการนั้นเพื่ออะไร เป้าหมายคืออะไร ทำอย่างไรจึงจะได้มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่มั่นคงได้
คืนนี้อาตมาได้ให้ข้อคิดในธรรมะแล้วขอยุติลงเพียงเท่านี้เอวัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น