วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ธรรมะปลุกใจ (ต่อ)

          เรื่องจิต​ คือ​ ผู้รู้​ความรู้สึกหรือความสามารถของจิตที่จะรู้อารมณ์​ เราต้องนำมาเป็นฐาน​เราต้องฝึกตัวผู้รู้นี้ให้ชัดเจน​ ต้องทำผู้รู้ให้เด่นขึ้นมาในจิตของเรา​ โดยอาศัยพุทโธ​ผู้รู้​ผู้ตื่น​ผู้เบิกบาน​อย่างนี้เป็นพื้นฐานของจิต​ให้เป็นสภาพธรรมชาติของจิต​ แต่โดยปกติแล้ว​เรามักให้ความสำคัญและให้ความสนใจกับอารมณ์ของจิต​ ชอบเรื่องนนี้ก็ตื่นเต้น ไม่ชอบเรื่องนี้ก็เกลียด ได้ของถูกก็ดีใจยิ้มสบายหัวเราะ ไม่ถูกใจก็ร้องไห้  ​มันขึ้นๆ​ลงๆ​ ตามอารมณ​์  อย่างนี้ภาษาอีสานเขาว่า​  ผีบ่าง​มันไว้ใจไม่ได้นะ 
          เราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อให้เป็นโรคประสาท​เราปฏิบัติเพื่อให้เป็นคนปกติ​  ปฏิบัติเพื่อเป็นคนที่มีความมั่นคง​เราต้องฝึกไว​้หัดไว​้สิ่งที่เราอาศัยมันก็ไม่ใช่อะไรอื่นไกล​ หากอยู่ที่ความสามารถของเราเองที่จะรู้ลมหายใจเข้า​รู้ลมหายใจออก​ รู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นว่า​ชอบหรือไม่ชอบ​เป็นสุขหรือเป็นทุกข์​เราก็รู้อย​ู่และอาศัยผู้รู้นี้​เราก็รู้ว่า​ สิ่งนี้ได้เกิดขึ้น​สิ่งนี้กำลังดับไป​ เป็นสิ่งที่เราร​ู้ความสามารถตามธรรมชาติของมนุษย์ เราก็มีอยู่แล้ว​มันไม่ได้เป็นเรื่องห่างไกลตัว​ 
          ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่สิ่งที่ห่างไกลจากเรา​หากเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว ​แต่ทำอย่างไรจึงจะได้อาศัยพระพุทธ​พระธรรม​พระสงฆ์เป็นสรณะ​ ถ้าหากว่าเรามัวแต่เน้นสิ่งที่อยู่นอกตัว​เรา ก็อาจจะไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร ​ดังนั้น​เราจึงต้องน้อมธรรมะเข้ามา​ อย่างที่เมื่อเราสวดระลึกถึงคุณของพระธรรมว่า​ “โอปนยิโก”​ นี่คือลักษณะของธรรมะของพระพุทธเจ้า​คือ เราต้องน้อมเข้ามาใส่ตัวอยู่เสมอ​เมื่อน้อมเข้ามา​เราก็ได้เห็น​เราก็ได้ร​ู้เราก็ได้สัมผัส​เราก็เข้าใจมากขึ้น​ เมื่อเข้าใจมากขึ้น​เราก็สามารถที่จะเลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์​ ถ้าเราสามารถที่จะเลือกจริงๆ​เราก็จะเลือกความสุข​ไม่เลือกความทุกข​์จะเลือกความสงบ​ไม่เลือกความวุ่นวาย​ 
          แต่ปัญหามีอยู่ว่า​เรายังไม่สามารถที่จะเลือก​และเราก็มักจะทำตามความเคยชินของตัวเอง​ทำตามความเคยชินของสังคมภายนอก​ทำตามกระแสของสิ่งที่มากระทบ​ นั่นเป็นเพราะเรายังไม่มีหลักเพียงพอ​จึงถูกชักลากไป​จึงเป็นเรื่องที่เราจะต้องฝึกตัวเองเพื่อจะสามารถเลือกสิ่งที่ถูกต้อง​หากสามารถเเลือกสิ่งที่ถูกต้อง ​ใครล่ะจะเลือกความทุกข​์ก็คงไม่เลือกหรอก​ความวุ่นวายก็ไม่มีใครอยากได้​ 
       นี่แหละคือ หน้าที่ของเรา​ชาวพุทธก็ต้องพยายามที่จะฝึกตัวเองให้มีความสงบเพียงพอ​มีความชัดเจนเพียงพอ​มีสติปัญญาเพียงพอที่จะเลือกในสิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์กับตัวเอง ​และจะเป็นคุณเป็นประโยชน์กับผู้อื่นด้วย​ เพราะว่าเมื่อใดที่เราสามารถทำตัวเองให้เป็นผู้มีคุณธรรม​มีความสงบ​ก็ย่อมจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนมนุษย์ที่อยู่รอบตัวเราด้วย​ 
          เป็นเรื่องธรรมชาติเมื่อเราถามตัวเองว่า​เวลาต้องเกี่ยวข้องกับคนที่ใจร้อน​หรือ สับสนวุ่นวาย​หรือคนที่ดูแล้วไม่น่าไว้ใจ​ เราก็ไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับเขา​เพราะ เกี่ยวข้องกับเขาแล้วมันไม่สบายใจ  ฉะนั้น เมื่อเราได้ฝึกตนให้เป็นผู้มีความมั่นคงไว้ใจได้ มีความสงบเยือกเย็น มีความยิ้มแย้มแจ่มใสเบิกบาน เราเองก็สบาย คนอื่นที่เกี่ยวข้องกับเราก็สบาย นี่เป็น ​“การให้”​ ที่สำคัญ เมื่อเราเข้าใกล้ใครแล้วรู้สึกสบาย มันก็เป็นเสมือนของขวัญให้ผู้อื่นเป็นเรื่องธรรมชาติของการเป็นมนษุย์ ​การปฏิบัติจึงเป็นสิ่งที่ให้ผลเกิดผลจริง และผลนั้นก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะตัวเรา หากเป็นประโยชน์กว้างออกไป
          การฝึกของเรา​อย่างที่ได้พูดแล้วว่า ​มันต้องมีพื้นฐานและมีเป้าหมาย​เราปฏิบัติเพื่อให้เป็นผู้มีสติ​ ผู้มีสติคือมีความรู้เท่าทันอารมณ์ ตามความหมายของหลวงพ่อชา​“สติ” คือรู้เท่าทันอารมณ์ “ปัญญา” คือการรอบรู้ในอารมณ์นั้น​ นี่แหละหน้าที่ของสติและปัญญา​เราก็ฝึกให้มีสต​ิให้มีปัญญา​จะได้รู้เท่าทันความรู้สึกที่เกิดขึ้น​รู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิตใจของเรา​คือ รู้ว่าอารมณ์นั้นมีผล​และเราก็ต้องพยายามฝึกเพื่อให้ได้ผลที่น่าปรารถนา​เป็นการสร้างเหตุเอาไว้​เพื่อให​้เราได้อยู่อย่างสุขสบาย 
         เหมือนกับเมื่อเราได้สมาทานศีลแล้ว​พระท่านก็กล่าวอนุโมทนาว่า​“สีเลนะ​ สุคะติง​ยันติ  ​สีเลนะ​โภคะสัมปะทา​ สีเลนะ​นิพพุติง​ยันติ​ ตัสมา​สีลัง​วิโสทะเย”​ คือศีลเป็นสิ่งที่นำความสุขมาให้ ศีลเป็นสิ่งที่ให้โภคสมบัติคือเป็นสมบัติที่ดีที่สุดของเรา​ ปกติคำศัพท์ว่า​“สมบัติ”​นี้​เราก็คิดว่าเป็นเงินเป็นทอง​เป็นสิ่งเป็นของ​ แต่ในที่นี้สมบัติที่มีคุณค่าคือ สิ่งที่จะทำให้เรารู้สึกว่ามั่นคง​“สีเลนะ​นิพพุติง​ยันติ” ​ศีลเป็นเหตุให้ดับทุกข์ได้​ โดยอาศัยการฝึกการหัดเพื่อนำความสุข​ นำความมั่นคง​ นำความดับทุกข์มาให้เรา ​ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เราปรารถนากันทุกคน​ 
          ศีลก็ดี​ สมาธิก็ดี​ ปัญญาก็ดี​ ล้วนมีเป้าหมายอันเดียวกัน​ ทำอย่างไรจึงจะมีความสุข​ ทำอย่างไรจึงจะมีความมั่นคง​ ทำอย่างไรจึงจะมีการดับทุกข์ที่เกิดได้  ​เราก็ต้องรู้ว่าวิธีการของพระพุทธเจ้านั้น​ท่านขอให้เราได้ลงมือฝึก​ลงมือหัด​ และอาศัยศีล​สมาธิ​ปัญญา​อาศัยทาน​ศีล​ภาวนา​เพื่อการฝึกการหัดในวิธีการต่างๆ​โดยมีเป้าหมายให้เรามีสติ​ให้มีปัญญา​เมื่อมีสติ​มีปัญญาแล้ว​มันจะได้ผลเอง​ 
          เหตุมี​ผลก็ย่อมปรากฏ​ไม่ต้องห่วงจนเกินไปว่า​    จะต้องพิจารณาแบบนี้แบบนั้น​ต้องพิจารณา          อสุภกรรมฐาน อย่างนี้อย่างนั้น​เพื่อให้ได้อานาปานสต​ิจะต้องใช้วิธีน​ี้ต้องภาวนาพุทโธอย่างเดียว​ภาวนาสัมมาอะระหังไม่ได้​ บางคนชอบคิดจุกจิกในเรื่องวิธีการ​โดยไม่เห็นว่าทำไปเพื่ออะไร​ 
          พูดตามความเป็นจริง​เราปฏิบัติภาวนาก็เพื่อทำให้กุศลธรรมเพิ่มขึ้น​อกุศลธรรมลดลง​  วิธีใดที่เราใช้ภาวนา​วิธีใดที่เราฝึกฝนตนเองเพื่อนำธรรมะเข้ามาสู่ชีวิตประจำวันของเรา ​ไม่มีเครื่องตัดสินว่าทำถูกหรือทำผิด​ ไม่ได้อยู่ที่วิธีการ​ไม่ได้อยู่ที่รายละเอียดของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น​ มันสำคัญที่สภาพของจิตใจเราว่า​ กุศลธรรม เพิ่มขึ้น​อกุศลธรรมลดลงเท่านั้น​นี่ เป็นสิ่งที่เราต้องพยายามสร้างความเข้าใจ​    เราจะรู้ว่าจิตเป็นกุศลหรือเป็นอกุศลได้อย่างไร​มันก็ต้องดูที่สภาพของจิต​ บางทีเราใช้สำนวนภาษาไทยที่ว่า​ สร้างบุญสร้างกุศล​ พระพุทธเจ้าท่านได้อธิบายว่า​ กุศลเป็นสภาพของจิตที่ควรทำาให้เกิดขึ้น​ 
          จิตใจที่เป็นกุศล สภาพของจิตจะมีคามรู้สึกเบิกบานมีความสุขและปลอดโปร่ง  ส่วนจิตที่เป็นอกุศลจะขุ่นมัว​มีความทุกข​์ไม่มั่นคง​เหมือนมีการแทรกแซง​ลักษณะ ธรรมชาติของกุศล​คือ จะมีความรู้สึกเยือกเย็น​หนักแน่น​มั่นคง​ ส่วนอกุศล​ก็จะมีลักษณะที่เรียกว่า​ โลเล​ มีนิวรณ์​ ๕ ​เช่น ​ถ้ามีกามฉันทะ​มีความพยาบาท​ซึ่งเราก็พอจะเห็นได้ว่า​กามจากความไม่พอใจ​ หรือความโกรธ​เป็นอกุศล ​หรือบางทีก็ใช้คำว่า​ “บาปอกุศล”​แต่ความง่วงเหงาหาวนอน​ความฟุ้งซ่าน​หรือความโลเลนั้น​ ถ้าจะคิดว่ามันเป็นบาปก็ดูจะเกินไป​แต่มันก็เป็นอกุศลในลักษณะที่ว่าจิตไม่ปลอดโปร่งไม่แจ่มใส​จิตมีความเศร้าหมอง​ไม่สุขสบาย​ไม่สงบ
          นี่เป็นหลักที่เราใช้ตัดสินว่าเราปฏิบัติถูกทางของพระพุทธเจ้าหรือไม่​  คือ ต้องดูที่สภาพของจิตว่า​กุศลเพิ่มขึ้น อกุศลลดลง​ เป็นเครื่องวัดในการฝึกหัด​เราจะได้ สังเกตด​ูเราจะได้พอกพูนกุศลธรรมไว้​ทำให้จิตใจมีกิเลสน้อยลง​ความเศร้าหมองน้อยลง​ มีความสุขมากขึ้น​มีความปลอดโปร่งมากขึ้น​ เป็นเรื่องธรรมชาติ ​ถ้าเราฝึกกุศลในจิตใจให้เข้มแข็งมากขึ้น​จิตใจของเราจะสุขสบายและจิตใจ เช่นนี้เป็นจิตใจที่ พร้อมจะรู้เห็นตามความเป็นจริง​รู้เห็นตามความถูกต้อง ​เพราะจิตใจที่แจ่มใสจะสามารถแยกแยะออกว่า​สิ่งไหนเป็นประโยชน์​สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน​์ หากจิตใจของเราขุ่นมัวเศร้าหมอง​มันก็ยากที่จะตัดสินว่าอะไรเป็นสิ่งดีงาม​ 
         ในฐานะที่เรามาฝึก​มาหัด​มาปฏิบัต​ิเราจะได้มีโอกาสนั่งสมาธ​ิมีโอกาสที่จะเดินจงกรม​  มีโอกาสที่จะได้ทดลองปฏิบัติในวิธีการต่างๆ​ แต่อยากให้ย้ำแล้วย้ำอีกว่า​ วิธีการนั้นเพื่ออะไร​ เป้าหมายคืออะไร ​ทำอย่างไรจึงจะได้มี พระพุทธ​  พระธรรม​  พระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่มั่นคงได​้ 
          คืนนี้อาตมาได้ให้ข้อคิดในธรรมะแล้ว​ขอยุติลงเพียงเท่านี้​เอวัง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น