เรียบง่าย ไม่มักง่าย
เราได้สมาทานศีล ๘ เรียบร้อยแล้ว ก็ขออนุโมทนาทุกท่านที่สละเวลามาปฏิบัติธรรมมาภาวนาร่วมกัน
“ภาวนา” แปลว่าทำให้เจริญให้มีความเจริญเกิดขึ้นในจิตใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทุกคนน่าจะต้องการ แต่ไม่รู้ว่าทำาไมจิตใจของมนุษย์เรากลับมักชอบไหลไปสู่ที่ต่ำ ไม่เจริญสักทีนี่เป็นปัญหาของมนุษย์แต่เมื่อเรามาปฏิบัติธรรมร่วมกันอย่างนี้ มีการสมาทานศีลมีตารางสำหรับการนั่งสมาธิการเดินจงกรมและการฟังธรรมก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้ได้พัฒนาจิต
คำว่า “พัฒนา” ในภาษาไทยก็มาจากคำาว่า “ภาวนา” ในภาษาบาลี คำศัพท์ภาษาไทยกว่า๓๐เปอร์เซ็นต์ก็ทับศัพท์หรือแปลงมาจากภาษาบาลี-สันสกฤต อยู่แล้ว การพัฒนาก็คล้ายๆกับการภาวนาคือทำให้เจริญเรารู้จักพัฒนาจิตใจของตัวเอง รู้จักพัฒนาการกระทำของเรา รู้จักพัฒนาคำพูดของเรา และเมื่อยิ่งมาเข้าปฏิบัติธรรมณที่นี้เราก็จะพัฒนาการพูดของเราแบบง่ายๆด้วยการงดพูด
การงดพูดนี่เป็นการฝึกตัวเองอย่างหนึ่งการทำให้มีสิ่งที่เรียกว่าเป็นคุณธรรม หรือเป็นความเจริญไม่ใช่ว่าเรามีแต่เรื่องได้หรือมีแต่เรื่องเพิ่มบางทีการทำให้น้อยลงกลับทำให้เจริญ
อย่างที่หลวงพ่อชาท่านสอนไว้ว่าการจะทำให้ร่างกายของเราแข็งแรง เราต้องออกกำาลังกายเราต้องยิ่งทำนี่ยิ่งทำนั่นเราจะได้แข็งแรงมากขึ้นแต่สำหรับการทำจิตใจให้แข็งแรงเราต้องรู้จักทำให้น้อยลงให้การนึกคิดปรุงแต่งน้อยลง ให้ความฟุ้งซ่านวิตกวิจารณ์น้อยลงให้มันสงบจิตใจจะแข็งแรงมากขึ้นมันเป็นเรื่องที่เราต้องเลือกเช่นเดียวกัน บางทีการทำให้วาจาของเราแข็งแรงไม่ใช่ว่าพูดมากแล้วมันจะแข็งแรงหรือจะมีคุณค่า
การมาอยู่ ณ สถานที่นี้เป็นเวลา ๓ คืนเราจะได้ฝึกตัวเองให้มีความแข็งแรงมากขึ้นโดยการฝึกฝนและแสวงหาความสงบในการฝึกตนให้มีความสงบมากขึ้นนั้น เราต้องมีขอบเขตหรือต้องมีสิ่งที่ช่วยประคับประคองไว้
ศีล ๘ เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราอยู่ในขอบเขตที่จะทำให้จิตใจเยือกเย็นเป็นเวลาที่เรามีความตั้งใจในการไม่เบียดเบียนไม่ลักทรัพย์ขโมยสิ่งของและยกเว้น หรือถอยออกจากกามแม้จะเพียงแค่ ๒-๓ วันมันก็ช่วยได้มาก นอกจากนี้การระมัดระวังการพูดโดยงดพูดหรือพูดให้น้อยลงถ้าจำเป็นต้องพูดก็พูดแต่สิ่งที่จำเป็นจริงๆและมีสาระเท่านั้น การงดเว้นจากเครื่องมึนเมาทั้งหลายเมื่อเข้ามา ณ สถานที่นี้มันก็ง่าย เพราะคนอื่นเขาประพฤติกัน
การทำให้ชีวิตเรียบง่ายขึ้นจะช่วยให้เราสงบ เช่น การที่เรางดเว้นจากการรับประทานอาหารเย็นหรือแม้ในช่วงเช้าและช่วงเพล อาหารที่รับประทานก็เป็นอาหารง่ายๆมันก็ได้อาศัยความเรียบง่ายภายนอกมาสนับสนุนความเรียบง่ายภายในช่วยให้จิตใจสงบง่ายขึ้นเป็นลักษณะที่ว่า ศีลเป็นข้อคิดข้อปฏิบัติที่ช่วยประคับประคอง และสนับสนุนจิตใจของเราให้เกิดความสงบโดยสะดวกขึ้นการละเว้นต่างๆทำให้จิตใจไม่ไหลออกไปสู่ภายนอกและเป็นผู้รู้จักนั่งง่ายนอนง่ายเหตุปัจจัยภายนอกจึงช่วยฝึกจิตใจให้มีความเจริญดังนี้
ผู้อยู่อย่างเรียบง่ายต่างจากคนมักง่ายคนมักง่ายนั้นแบบไหนๆก็ได้ไม่ค่อยตั้งใจสักเท่าไร ขณะที่ผู้ที่เรียบง่ายต้องมีความตั้งใจและมีความรู้สึกว่าตั้งใจเพื่ออะไร นี่เราแสวงหาความสงบเราแสวงหาสาระธรรมในจิตใจและในชีวิตของเรา ถึงเวลาจะน้อยแค่ ๓ วัน แต่ถ้าเราใช้ ๓ วันนี้ให้ถูกให้ทุ่มเทหน่อยก็เกิดความสงบได้ลิ้มรสของธรรมะได้ มันไม่เหลือวิสัยของใครสักคนที่อยู่ในที่นี้นี่เป็นสิ่งที่เราต้องสำนึกไว้ เพราะบางทีบางคนเข้ามา ณ สถานที่นี้ ยังไม่ทันได้เริ่มปฏิบัติจริงๆแต่ก็ได้คิดไปแล้วว่า“เอ…จะทำได้ไหมหนอ....คงจะทำไม่ได้หรอก ”นี่เป็นการหาอุบายทำลายกำลังใจของตัวเองทั้งๆที่ยังไม่ได้ลงมือทำเลย
พระพุทธเจ้าสอนธรรมะไว้เพื่อมนุษย์ ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์เราสามารถที่จะเลือกทำสิ่งที่ดีสิ่งที่ไม่ดีสิ่งที่เป็นประโยชน์หรือสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ก็แล้วแต่ เราจะเลือกการที่เราได้อุตส่าห์มารวมกันในที่นี้ก็แสดงว่า เราพร้อมที่จะปฏิบัติและเมื่อพร้อมที่จะปฏิบัติแล้ว ก็พร้อมที่จะได้ผล เพราะผู้ปฏิบัติย่อมได้รับผล เรียกว่า ใครทำใครได้ ได้ใครกินใครอิ่ม เราต้องมั่นใจว่าเรามีสติปัญญาเพียงพอและการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ย่อมส่งผลในทางดี นี่คือส่วนที่บางครั้งเราก็ต้องยกขึ้นมาทบทวนเพื่อเป็นกำลังใจแก่ตัวเองจะได้ไม่ทำลายโอกาสของตัวเองเป็นส่วนที่ต้องระลึกไว้
การปฏิบัติในพุทธศาสนานั้นเราปฏิบัติเพื่ออะไรเป็นเรื่องที่น่าคิดอาตมาสอนคนมามากและได้เห็นคนที่ปฏิบัติมามากบางคนมักจะยึดติดในวิธีการในลักษณะว่า จะต้องทำให้ถูกต้องที่สุดให้ความสำคัญกับวิธีการที่สุด เช่น ว่าเราเป็นผู้ปฏิบัติเราเป็นผู้ภาวนา เราจะต้องฝึกอานาปานสติให้เกิดขึ้น หรือเราจะต้องทำอสุภกรรมฐานมากน้อยแค่ไหน ทำอย่างไรจึงจะได้ผลตามที่พระพุทธเจ้าสอนหรือเราจะต้องทำเมตตาภาวนาอย่างไร วิธีการมีอยู่ก็จริงแต่บางทีก็พยายามมากจนเกินไปที่จะให้ความสำคัญกับวิธีการแทนที่จะคิดว่าวิธีการนั้นทำไปเพื่ออะไรเป้าหมายของการกำหนดจิตใจโดยอาศัยลมหายใจเข้าลมหายใจออกที่ทำบ่อยๆนั้นทำเพื่ออะไร เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะในการฝึกตนเองนั้นบางทีเราก็คิดว่าจะต้องทำอานาปานสติ ถึงขั้นไหน จะต้องทำ อสุภกรรมฐาน จะต้องเห็นนิมิตแบบไหนถึงจะถูกหรือการทำ เมตตาภาวนาอย่างนี้อย่างนั้นจะต้องแผ่เมตตาไปถึงไหนถึงจะถูกคือมัวจมอยู่ใน วิธีการจนไม่ได้คิดว่าทำเพื่ออะไร
เหมือนกับอาจารย์ท่านหนึ่งในสายทิเบต ซึ่งเป็นพระที่สอนกรรมฐาน และมีลูกศิษย์ที่ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ ลูกศิษย์คนหนึ่งกำลังตื่นเต้นกับการภาวนาได้ถามอาจารย์ว่า จะต้องภาวนาอย่างไรจึงจะสงบยิ่งขึ้นและให้ความสงบนั้นยืดเวลาออกไปได้นานที่สุดทำให้จิตใจมีความแจ่มใสปลอดโปร่งที่สุดทำอย่างไรจึงจะได้อย่างนั้นมันเป็นเรื่องน่าคิดเพราะนี่เป็นสิ่งที่เราต้องการกันทุกคน
อาจารย์ตอบลูกศิษย์ว่า “คุณคิดอย่างนี้ก็ไม่ถูก” ท่านก็ยกลูกประคำาขึ้นมาแล้วบอกว่า “มันก็เหมือนกับเรามีลูกประคำซึ่งมีขนาดเท่านี้เอ…ทำอย่างไรจึงจะให้ลูกประคำมันสวยกว่านี้ใหญ่กว่านี้ มีจำนวนเม็ดมากกว่านี้ ดึงไปยืดไปจนมันขาดเสียหายหมด ถ้ามัวแต่คิดว่าทำอย่างไรจะให้สงบที่สุดทำให้ดีที่สุดทำให้ปลอดโปร่งที่สุด ทำให้ละเอียดที่สุด เมื่อคิดจะได้ที่สุดๆก็เป็นการอาศัยตัณหาผลักดันอยู่ตลอดเวลา”
แล้วอาจารย์ก็อธิบายต่อว่า “การที่พยายามให้มีความรู้สึกอย่างนี้สภาพจิตใจอย่างนี้มันก็ล้วนแต่เป็นอารมณ์ของจิตและเป็นธรรมดาที่อารมณ์ของจิตจะต้องไม่เที่ยง มันไม่แน่มันจะเปลี่ยนแปลงแปรปรวนอยู่ตลอด ฉะนั้นแทนที่จะให้ความสำคัญกับอารมณ์ของจิตเราต้องให้ความสำคัญกับผู้รู้ในจิตใจของเราต้องอาศัยผู้รู้ ต้องอาศัยผู้ตื่น ต้องอาศัยผู้เบิกบาน ในจิตใจของเราตัวนี้สำคัญกว่า”
นักปฏิบัติทั้งหลายก็ต้องคิดในลักษณะเดียวกันนี้ ไม่ใช่ว่าไม่มีวิธีการ ไม่ใช่ว่าเราไม่ต้องฝึกให้มีความชำนาญในวิธีการแต่มันต้องเข้าใจเป้าหมาย เป้าหมายต้องอยู่ที่ว่าทำอย่างไรจิตของเราจึงจะตั้งอยู่โดยมีผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานเป็นพื้นฐาน ทำอย่างไรจึงจะให้มีพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นที่พึ่งในในทุก กรณีและเพื่อที่เราจะได้เป็นที่พึ่งของตนด้วยการที่เรายอมรับความสามารถของตัวเองที่จะเข้าถึงสภาวะที่มีผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานอยู่ในจิตใจของเรา
จึงเป็นเรื่องสำคัญที่การฝึกของเราการภาวนาของเราต้องมีเป้าหมาย แต่เป้าหมายก็ต้องไม่ไกลจนเกินไป เป้าหมายต้องอยู่กับความเป็นจริงของธรรมะ แต่นี่เราจะเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งเราเอาพระธรรมเป็นที่พึ่งพระธรรมในลักษณะนี้ก็คือ ความถูกต้องธรรมะ คือของถูกต้องมันถูกต้องที่จะต้องมีการแปรปรวนเปลี่ยนแปลงมันถูกต้องที่จะต้องมีความไม่แน่อยู่ตลอดเวลา มันถูกต้องที่จะต้องมีความทุกข์ปรากฏ เมื่อเรามีความอยากหรือมีความไม่อยากเมื่อมีการแทรกแซงในจิตใจก็ต้องมีความทุกข์เกิดขึ้นเราต้องเข้าใจเรื่องความไม่ได้มีตัวไม่ได้มีตนไม่ได้มีของๆเรา ทุกๆอย่างมันก็เป็นสภาวธรรมเป็นไปตามกระบวนการของธรรมชาติก็ต้องยอมธรรมชาติ เราต้องยอมสิ่งที่เป็นจริงตราบใดที่เราปฏิบัติเพื่อจะเอาให้ได้ตามอุดมการณ์ของเราตามความต้องการของเราตามทิฏฐิความเห็นของเราตราบนั้นเราก็จะเป็นทุกข์มัน เป็นเรื่องที่เรานักปฏิบัติต้องสนใจว่าทำอย่างไรจึงจะมีที่พึ่งทำอย่างไรจึงจะสามารถแยกได้ว่าอะไรสำคัญอะไรไม่สำคัญ
เมื่อหลวงพ่อชาไปกราบหลวงปู่มั่นเพื่อขอคำแนะนำในการปฏิบัติภาวนาหลวง ปู่มั่นแนะนำหลวงพ่อให้รู้จักแยกให้ออกระหว่างจิต กับ อารมณ์ของจิต ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าคิดว่า มันเป็นอย่างไรหลวงพ่อท่านต้องใช้เวลาในการฝึกแล้วฝึกอีกเพื่อพิจารณาให้เห็นจริงตามคำสอนนั้น
อารมณ์ของจิต คือ อารมณ์ของความพอใจ ความไม่พอใจ ความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ความอยากได้ ความไม่อยากได้ ความทุกข์ใจ ความไม่ทุกข์ใจ หรือความเห็นที่ว่าสิ่งนี้ดีสิ่งนี้ไม่ดีนั่นล้วนแล้วแต่เป็นอารมณ์ของจิตซึ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเราจะเอาแน่ในอารมณ์ไม่ได้
(มีต่อ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น