วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ธรรมปลุกใจ

เรียบง่าย ไม่มักง่าย 
          เราได้สมาทานศีล​ ๘​ เรียบร้อยแล้ว​ ก็ขออนุโมทนาทุกท่านที่สละเวลามาปฏิบัติธรรม​มาภาวนาร่วมกัน​ 
         “ภาวนา” แปลว่าทำให้เจริญให้มีความเจริญเกิดขึ้นในจิตใจ​ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทุกคนน่าจะต้องการ​ แต่ไม่รู้ว่าทำาไมจิตใจของมนุษย์เรากลับมักชอบไหลไปสู่ที่ต่ำ​ ไม่เจริญสักที​นี่เป็นปัญหาของมนุษย​์แต่เมื่อเรามาปฏิบัติธรรมร่วมกันอย่างนี้ ​มีการสมาทานศีลมีตารางสำหรับการนั่งสมาธิการเดินจงกรมและการฟังธรรมก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้ได้พัฒนาจิต​ 
     คำว่า ​“พัฒนา” ​ในภาษาไทย​ก็มาจากคำาว่า​ “ภาวนา”​ ในภาษาบาลี​ คำศัพท์ภาษาไทย​กว่า​๓๐​เปอร์เซ็นต์ก็ทับศัพท์หรือแปลงมาจากภาษาบาลี-สันสกฤต อยู่แล้ว​ การพัฒนาก็คล้ายๆ​กับการภาวนา​คือทำให้เจริญ​เรารู้จักพัฒนาจิตใจของตัวเอง​ รู้จักพัฒนาการกระทำของเรา​ รู้จักพัฒนาคำพูดของเรา​ และเมื่อยิ่งมาเข้าปฏิบัติธรรม​ณ​ที่น​ี้เราก็จะพัฒนาการพูดของเราแบบง่ายๆ​ด้วยการงดพูด
      การงดพูดนี่เป็นการฝึกตัวเองอย่างหนึ่ง​การทำให้มีสิ่งที่เรียกว่าเป็นคุณธรรม   หรือเป็นความเจริญ​ไม่ใช่ว่าเรามีแต่เรื่องได​้หรือมีแต่เรื่องเพิ่ม​บางทีการทำให้น้อยลงกลับทำให้เจริญ​ 
      อย่างที่หลวงพ่อชาท่านสอนไว้ว่า​การจะทำให้ร่างกายของเราแข็งแรง​   เราต้องออกกำาลังกาย​เราต้องยิ่งทำนี่​ยิ่งทำนั่น​เราจะได้แข็งแรงมากขึ้น​แต่สำหรับการทำจิตใจให้แข็งแรง​เราต้องรู้จักทำให้น้อยลง​ให้การนึกคิดปรุงแต่งน้อยลง​ ให้ความฟุ้งซ่านวิตกวิจารณ์น้อยลง​ให้มันสงบ​จิตใจจะแข็งแรงมากขึ้น​มันเป็นเรื่องที่เราต้องเลือก​เช่นเดียวกัน​  บางทีการทำให้วาจาของเราแข็งแรง​ไม่ใช่ว่าพูดมากแล้วมันจะแข็งแรง​หรือจะมีคุณค่า​ 
       การมาอย​ู่ ณ ​สถานที่นี้เป็นเวลา​ ๓​ คืน​เราจะได้ฝึกตัวเองให้มีความแข็งแรงมากขึ้น​โดยการฝึกฝนและแสวงหาความสงบ​ในการฝึกตนให้มีความสงบมากขึ้นนั้น​ เราต้องมีขอบเขตหรือต้องมีสิ่งที่ช่วยประคับประคองไว้ 
       ศีล ​๘ ​เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราอยู่ในขอบเขตที่จะทำให้จิตใจเยือกเย็น​เป็นเวลาที่เรามีความตั้งใจในการไม่เบียดเบียน​ไม่ลักทรัพย์ขโมยสิ่งของ​และยกเว้น​ หรือถอยออกจากกาม​แม้จะเพียงแค่​ ๒​-​๓ ​วัน​มันก็ช่วยได้มาก​ นอกจากนี้​การระมัดระวังการพูดโดยงดพูดหรือพูดให้น้อยลง​ถ้าจำเป็นต้องพูด​ก็พูดแต่สิ่งที่จำเป็นจริงๆ​และมีสาระเท่านั้น การงดเว้นจากเครื่องมึนเมาทั้งหลายเมื่อเข้ามา ณ สถานที่นี้มันก็ง่าย เพราะคนอื่นเขาประพฤติกัน​ 
       การทำให้ชีวิตเรียบง่ายขึ้นจะช่วยให้เราสงบ  ​เช่น  การที่เรางดเว้นจากการรับประทานอาหารเย็น​หรือแม้ในช่วงเช้าและช่วงเพล​ อาหารที่รับประทานก็เป็นอาหารง่ายๆ​มันก็ได้อาศัยความเรียบง่ายภายนอกมาสนับสนุนความเรียบง่ายภายใน​ช่วยให้จิตใจสงบง่ายขึ้น​เป็นลักษณะที่ว่า​ ศีลเป็นข้อคิดข้อปฏิบัติที่ช่วยประคับประคอง ​และสนับสนุนจิตใจของเราให้เกิดความสงบโดยสะดวกขึ้น​การละเว้นต่างๆ​ทำให้จิตใจไม่ไหลออกไปสู่ภายนอก​และเป็นผู้รู้จักนั่งง่าย​นอนง่าย​เหตุปัจจัยภายนอกจึงช่วยฝึกจิตใจให้มีความเจริญดังนี้ 
          ผู้อยู่อย่างเรียบง่ายต่างจากคนมักง่าย​คนมักง่ายนั้นแบบไหนๆ​ก็ได้​ไม่ค่อยตั้งใจสักเท่าไร​ ขณะที่ผู้ที่เรียบง่ายต้องมีความตั้งใจ​และมีความรู้สึกว่าตั้งใจเพื่ออะไร​ นี่เราแสวงหาความสงบ​เราแสวงหาสาระธรรมในจิตใจและในชีวิตของเรา​ ถึงเวลาจะน้อยแค​่ ๓​ วัน​ แต่ถ้าเราใช​้ ๓ ​วันนี้ให้ถูก​ให้ทุ่มเทหน่อย​ก็เกิดความสงบได้​ลิ้มรสของธรรมะได้​ มันไม่เหลือวิสัยของใครสักคนที่อยู่ในที่นี้​นี่เป็นสิ่งที่เราต้องสำนึกไว​้ เพราะบางทีบางคนเข้ามา ​ณ ​สถานที่นี้ ​ยังไม่ทันได้เริ่มปฏิบัติจริงๆ​แต่ก็ได้คิดไปแล้วว่า​“เอ…​จะทำได้ไหมหนอ....​คงจะทำไม่ได้หรอก ”​นี่เป็นการหาอุบายทำลายกำลังใจของตัวเอง​ทั้งๆ​ที่ยังไม่ได้ลงมือทำเลย​ 
          พระพุทธเจ้าสอนธรรมะไว้เพื่อมนุษย​์ ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์เราสามารถที่จะเลือกทำสิ่งที่ดี​สิ่งที่ไม่ด​ีสิ่งที่เป็นประโยชน์​หรือสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์​ก็แล้วแต่ เราจะเลือก​การที่เราได้อุตส่าห์มารวมกันในที่นี้ก็แสดงว่า​ เราพร้อมที่จะปฏิบัต​ิและเมื่อพร้อมที่จะปฏิบัติแล้ว ก็พร้อมที่จะได้ผล เพราะผู้ปฏิบัติย่อมได้รับผล เรียกว่า ใครทำใครได้ ได้​ใครกินใครอิ่ม​ เราต้องมั่นใจว่าเรามีสติปัญญาเพียงพอ​และการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ย่อมส่งผลในทางดี​ นี่คือส่วนที่บางครั้งเราก็ต้องยกขึ้นมาทบทวนเพื่อเป็นกำลังใจแก่ตัวเอง​จะได้ไม่ทำลายโอกาสของตัวเอง​เป็นส่วนที่ต้องระลึกไว​้ 
          การปฏิบัติในพุทธศาสนานั้น​เราปฏิบัติเพื่ออะไร​เป็นเรื่องที่น่าคิด​อาตมาสอนคนมามาก​และได้เห็นคนที่ปฏิบัติมามาก​บางคนมักจะยึดติดในวิธีการในลักษณะว่า จะต้องทำให้ถูกต้องที่สุด​ให้ความสำคัญกับวิธีการที่สุด ​เช่น ว่า​เราเป็นผู้ปฏิบัติ​เราเป็นผู้ภาวนา​ เราจะต้องฝึกอานาปานสติให้เกิดขึ้น​ หรือเราจะต้องทำอสุภกรรมฐานมากน้อยแค่ไหน​ ทำอย่างไรจึงจะได้ผลตามที่พระพุทธเจ้าสอน​หรือเราจะต้องทำเมตตาภาวนาอย่างไร​ วิธีการมีอยู่ก็จริง​แต่บางทีก็พยายามมากจนเกินไปที่จะให้ความสำคัญกับวิธีการ​แทนที่จะคิดว่าวิธีการนั้นทำไปเพื่ออะไร​เป้าหมายของการกำหนดจิตใจโดยอาศัยลมหายใจเข้า​ลมหายใจออก​ที่ทำบ่อยๆ​นั้นทำเพื่ออะไร ​เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ​เพราะในการฝึกตนเองนั้น​บางทีเราก็คิดว่าจะต้องทำอานาปานสติ ถึงขั้นไหน​ จะต้องทำ อสุภกรรมฐาน ​จะต้องเห็นนิมิตแบบไหนถึงจะถูก​หรือการทำ เมตตาภาวนาอย่างนี้อย่างนั้น​จะต้องแผ่เมตตาไปถึงไหนถึงจะถูก​คือมัวจมอยู่ใน วิธีการ​จนไม่ได้คิดว่าทำเพื่ออะไร​ 
          เหมือนกับอาจารย์ท่านหนึ่งในสายทิเบต​ ซึ่งเป็นพระที่สอนกรรมฐาน​ และมีลูกศิษย์ที่ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ ลูกศิษย์คนหนึ่งกำลังตื่นเต้นกับการภาวนาได้ถามอาจารย์ว่า ​จะต้องภาวนาอย่างไรจึงจะสงบยิ่งขึ้น​และให้ความสงบนั้นยืดเวลาออกไปได้นานที่สุด​ทำให้จิตใจมีความแจ่มใสปลอดโปร่งที่สุด​ทำอย่างไรจึงจะได้อย่างนั้น​มันเป็นเรื่องน่าคิด​เพราะนี่เป็นสิ่งที่เราต้องการกันทุกคน​ 
          อาจารย์ตอบลูกศิษย์ว่า​   “คุณคิดอย่างนี้ก็ไม่ถูก”  ​ท่านก็ยกลูกประคำาขึ้นมาแล้วบอกว่า  ​“มันก็เหมือนกับเรามีลูกประคำซึ่งมีขนาดเท่านี้​เอ…​ทำอย่างไรจึงจะให​้ลูกประคำมันสวยกว่านี้​ใหญ่กว่านี้​ มีจำนวนเม็ดมากกว่านี้​ ดึงไปยืดไปจนมันขาด​เสียหายหมด ​ถ้ามัวแต่คิดว่าทำอย่างไรจะให้สงบที่สุด​ทำให้ดีที่สุด​ทำให้ปลอดโปร่งที่สุด ​ทำให้ละเอียดที่สุด ​เมื่อคิดจะได้ที่สุดๆ​ก็เป็นการอาศัยตัณหาผลักดันอยู่ตลอดเวลา”​ 
          แล้วอาจารย์ก็อธิบายต่อว่า ​“การที่พยายามให้มีความรู้สึกอย่างนี้​สภาพจิตใจอย่างนี้​มันก็ล้วนแต่เป็นอารมณ์ของจิต​และเป็นธรรมดาที่อารมณ์ของจิตจะต้องไม่เที่ยง​ มันไม่แน​่มันจะเปลี่ยนแปลงแปรปรวนอยู่ตลอด​ ฉะนั้น​แทนที่จะให้ความสำคัญกับอารมณ์ของจิต​เราต้องให้ความสำคัญกับผู้รู้ในจิตใจของเรา​ต้องอาศัยผู้รู้​ ต้องอาศัยผู้ตื่น​ ต้องอาศัยผู้เบิกบาน ในจิตใจของเรา​ตัวนี้สำคัญกว่า”​ 
          นักปฏิบัติทั้งหลายก็ต้องคิดในลักษณะเดียวกันนี้​ ไม่ใช่ว่าไม่มีวิธีการ​ ไม่ใช่ว่าเราไม่ต้องฝึกให้มีความชำนาญในวิธีการ​แต่มันต้องเข้าใจเป้าหมาย​ เป้าหมายต้องอยู่ที่ว่า​ทำอย่างไรจิตของเราจึงจะตั้งอยู่โดยมีผู้รู้​ผู้ตื่น​ผู้เบิกบานเป็นพื้นฐาน​ ทำอย่างไรจึงจะให้มีพระพุทธ​พระธรรม​พระสงฆ​์เป็นที่พึ่งในในทุก กรณ​ีและเพื่อที่เราจะได้เป็นที่พึ่งของตน​ด้วยการที่เรายอมรับความสามารถของตัวเองที่จะเข้าถึงสภาวะที่มีผู้รู้​ผู้ตื่น​ผู้เบิกบานอยู่ในจิตใจของเรา​ 
          จึงเป็นเรื่องสำคัญที่การฝึกของเรา​การภาวนาของเรา​ต้องมีเป้าหมาย​ แต่เป้าหมายก็ต้องไม่ไกลจนเกินไป ​เป้าหมายต้องอยู่กับความเป็นจริงของธรรมะ​ แต่นี่เราจะเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง​เราเอาพระธรรมเป็นที่พึ่ง​พระธรรมในลักษณะนี้ก็คือ ความถูกต้อง​ธรรมะ คือของถูกต้อง​มันถูกต้องที่จะต้องมีการแปรปรวนเปลี่ยนแปลง​มันถูกต้องที่จะต้องมีความไม่แน่อยู่ตลอดเวลา​ มันถูกต้องที่จะต้องมีความทุกข์ปรากฏ เมื่อเรามีความอยากหรือมีความไม่อยาก​เมื่อมีการแทรกแซงในจิตใจก็ต้องมีความทุกข์เกิดขึ้น​เราต้องเข้าใจเรื่องความไม่ได้มีตัว​ไม่ได้มีตน​ไม่ได้มีของๆ​เรา​ ทุกๆ​อย่างมันก็เป็นสภาวธรรม​เป็นไปตามกระบวนการของธรรมชาต​ิก็ต้องยอมธรรมชาต​ิ เราต้องยอมสิ่งที่เป็นจริง​ตราบใดที่เราปฏิบัติเพื่อจะเอาให้ได้ตามอุดมการณ์ของเรา​ตามความต้องการของเรา​ตามทิฏฐิความเห็นของเรา​ตราบนั้นเราก็จะเป็นทุกข์​มัน เป็นเรื่องที่เรานักปฏิบัติต้องสนใจว่า​ทำอย่างไรจึงจะมีที่พึ่ง​ทำอย่างไรจึงจะสามารถแยกได้ว่าอะไรสำคัญ​อะไรไม่สำคัญ​ 
          เมื่อหลวงพ่อชาไปกราบหลวงปู่มั่นเพื่อขอคำแนะนำในการปฏิบัติภาวนา​หลวง ปู่มั่นแนะนำหลวงพ่อให้รู้จักแยกให้ออกระหว่าง​จิต กับ อารมณ์ของจิต​ ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าคิดว่า มันเป็นอย่างไร​หลวงพ่อท่านต้องใช้เวลาในการฝึกแล้วฝึกอีก​เพื่อพิจารณาให้เห็นจริงตามคำสอนนั้น​ 
          อารมณ์ของจิต​ คือ​ อารมณ์ของความพอใจ​ ความไม่พอใจ​ ความชอบใจ​ ความไม่ชอบใจ​ ความอยากได้​ ความไม่อยากได้​ ความทุกข์ใจ​ ความไม่ทุกข์ใจ​ หรือความเห็นที่ว่า​สิ่งนี้ดี​สิ่งนี้ไม่ดี​นั่นล้วนแล้วแต่เป็นอารมณ์ของจิต​ซึ่งเกิดขึ้น​ ตั้งอยู่​และดับไป​เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด​เราจะเอาแน่ในอารมณ์ไม่ได้

(มีต่อ)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น