สังคมยิ่งใหญ่โตมากเท่าไร แทนที่เราจะรู้สึกอบอุ่นตื่นเต้นกับการพบคนมากหน้าหลายตา เรากลับรู้สึกอ้างว้างเดียวดายและเหนื่อยล้ากับการที่ต้องข้องเกี่ยวสัมพันธ์กับผู้คนเป็นอันมาก ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ สังคมยิ่งซับซ้อน ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างไม่ว่าญาติพี่น้องเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมสังคมก็ยิ่งเหินห่าง ความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับผู้คนและชุมชนเริ่มจางหายไป มีแนวโน้มมากยิ่งขึ้นที่จะมาเน้นตัวเองแทนที่จะกลมกลืนกับสังคม ผู฿้คนพากันให้ความสำคัญกับความต้องการของตนยิ่งกว่าความต้องการของส่วนรวม และต้องการค้นหาเอกลักษณ์ มีแบบฉบับเฉพาะของตัวยิ่งกว่าที่จะสนใจคล้อยตามวัฒนธรรม และประเพณีของคนหมู่มาก นับวันเราจะคิดถึงความเป็นตัวของตัวเองกันมากขึ้นทุกทีแต่อันที่จริงแล้วความเป็นตัวของตัวเองก็ไม่ใช่ของใหม่ทีเดียวนัก คนแต่ก่อนก็ถือว่าความเป็นตัวของตัวเองนั้นเป็นของดีหาไม่ไหนเลยจะมีพุทธพจน์ที่ว่า ตนนั้นแลเป็นที่พึ่งแห่งตน อย่างไรก็ตามสำหรับคนแต่ก่อน นัยของความเป็นตัวของตัวเองมักหมายถึงการพยายามไม่ไปพึ่งพาคนอื่น หรือคล้อยตามสังคมแวดล้อมแต่ฝ่ายเดียว หากต้องมีสติวิจารณญาณของตัวเอง แต่สมัยนี้คำๆนี้ดูจะมีนัยหมายถึงการพยายามขีดวงไม่ให้คนอื่นมาข้องเกี่ยวกับตัวเอง หรือมายุ่มย่ามรุกล้ำ “อาณาจักร ส่วนตัว” ของเรา ทั้งนี้เราจึงสนใจกันมากขึ้นว่าทำอย่างไรคนภายนอกจะมีอิทธิพลต่อเราน้อยลง
แต่ว่ากันอย่างถึงที่สุดแล้ว อิทธิพลจากคนภายนอกนั้น เรายากที่จะปฏิเสธได้ ชีวิตและโลกนี้เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ที่สานกันเป็นโยงใยสลับซับซ้อน มีผลกระทบต่อกันและกันอย่างต่อเนื่อง อย่างที่บางครั้งคิดไม่ถึง กระทั่งในทางพุทธถึงกับมีคติเป็นวจนะอันลือชื่อว่า ทั้งหมดในหนึ่ง หนึ่งในทั้งหมด หมายความสั้นๆว่า สรรพสิ่งทั้งหลายในสากลจักรวาล ย่อมมีอิทธิพลต่อแต่ละสิ่งแต่ละอัน ต้นไม้ต้นหนึ่งหรือหญ้าแต่ละต้น ย่อมเป็นผลจากอิทธิพลของต้นไม้ทั้งหลายในป่า ตลอดจนสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกและจักรวาล เช่นเดียวกัน แต่ละสิ่งแต่ละอันก็มีอิทธิพลต่อทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้ นั่นก็คือ หญ้าแต่ละต้น ไม้แต่ละต้น ย่อมมีอิทธิพลต่อต้นไม้ทั้งหลายในป่าและสรรพสิ่งในจักรวาล เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกสิ่งทุกอย่างตลอดจนมนุษย์แต่ละคน จึงไม่อาจอยู่โดดๆได้แม้จะอยู่ในป่าก็ต้องได้รับอิทธิพลจากภายนอกในทุกลักษณะอย่างไม่อาจจะแยกแยะให้ชัดเจนครบถ้วนลงไปได้ ในแง่นี้ แม้การแปรเปลี่ยนของดวงดาวที่ไกลโพ้นก็ย่อมมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตและจิตใจของแต่ละคนหรือโลกทั้งหมด
มองในแง่หนึ่ง อิทธิพลจากภายนอกเป็นของดี โดยเฉพาะอิทธิพลจาก กัลยาณมิตร ในทางพุทธถือว่า อิทธิพลจากภายนอกเช่นนี้ ย่อมนำมนุษย์ไปสู่หนทางอันประเสริฐ และคนส่วนใหญ่ก็ต้องการอิทธิพลเช่นนี้ จึงจะมีชีวิตที่ผาสุกได้ ในขณะที่มีคนเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่สามารถพัฒนาชีวิตได้โดยอาศัยความสามารถและปัญญาของตนเองล้วนๆ ที่เรียกว่า โยนิโสมนสิการ
ในเมื่อเราไม่อาจปฏิเสธอิทธิพลภายนอกได ้ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า ทำอย่างไร เราจึงจะสามารถเลือกสรรรับเอาแต่อิทธิพลที่ดี คือ อิทธิพลจากกัลยาณมิตรได้ คำตอบซึ่งดูง่ายก็คือ คบแต่มิตรที่ดีและเลี่ยงคบหาสมาคมกับคนพาล ดัง ๒ ข้อแรกของมงคล ๓๘ คือ อเสวนา จ พาลานํ ปณฑฺติานญจฺ
เสวนา แต่การคบกัลยาณมิตรก็ต้องมีขอบเขต ในแง่ที่ไม่ทำให้เราต้องพึ่งพิงเขาอยู่ร่ำไป หากเป็นการคบหาเพื่อทำให้เราเติบโตเป็นตัวของตัวเอง พึ่งพาอยู่แต่สติปัญญาและความสามารถของเราเองเป็นหลัก เรียกว่า คบหากัลยาณมิตรเพื่อให้เกิดโยนิโสมนสิการขึ้นในตัวเรา กัลยาณมิตรบางครั้งก็ดีกระทั่งเราติดเขาแจ ไม่อาจะเป็นอิสระหรือสลัดเขาไปได้ ผลก็คือไม่รู้จักโตเสียที กัลยาณมิตรที่มีปัญญาเห็นการณ์ไกล จึงมักแก้ปัญหานี้ด้วยการกันให้เราถอยห่างจากเขาหรือวางระยะกับเขา ไม่ใกล้ชิดจนเกินไป บางวิธีการก็ได้แก่การทำตนไม่ให้ดีจนเกินไปนัก หรือทำให้ลูกศิษย์ตกใจหรือช็อกไปเลย แบบอาจารย์เซนเขาทำกัน ฟังว่าท่านพุทธทาสก็ใช้วิธีนี้หลายครั้งเหมือนกัน
เมื่อใดที่เราสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างมีพื้นฐานที่ถูกต้อง เมื่อนั้นสิ่งภายนอกก็มีอิทธิพลต่อตัวเราน้อยลง ขณะเดียวกันเราก็สามารถเลือกสรรรับเอาอิทธิพลที่ดีจากภายนอกได้อย่างแยบคายขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ไม่มีความจำเป็นจะต้องปฏิเสธอย่างไม่ลืมหูลืมตา โดยไม่รู้จักจำแนกแยกแยะคนที่พยายามปฏิเสธอิทธิพลภายนอกดังว่า ลึกๆแล้วเป็นคนที่ไม่เป็นตัวของตัวเองขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง มีความหวั่นกลัวว่าผู้อื่นจะทำให้ตนไขว้เขวสับสนอยู่ร่ำไป ก็เลยหาทางออกด้วยการปิดหูปิดตาไม่ยอมรับอิทธิพลจากภายนอก ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วเป็นไปไม่ได้เลย การปิดหูปิดตาเช่นนั้นก็แสดงอยู่ในตัวแล้วว่า เป็นผลอันเนื่องจากถูกอิทธิพลภายนอกบีบบังคับให้ทำเช่นนั้น
หากเราเป็นตัวของตัวเองจริง เราจะไม่มีความหวั่นวิตกอิทธิพลภายนอก เราจะไม่ปิดกั้นตัวเองจากสิ่งรอบตัว แต่จะเปิดกว้างและพิจารณาดูสิ่งไหนดีก็รับเอาไว้ สิ่งไหนไม่ดีก็ทิ้งไปเสีย ไม่แกร่งกร้าวจนเกินงาม แต่ขณะเดียวกันก็ไม่กลัวจนแหย แม้จะอยู่ท่ามกลางคนเป็นอันมากที่เห็นขัดแย้งหรือเป็นปฏิปักษ์กับตัว พูดอีกแง่หนึ่งคนหมู่มากไม่อาจทำให้เราคลายความนับถือในตัวเองได้แม้จะขาดมิตร แต่ก็มีเงาและตัวเราเองเป็นเพื่อน เพราะเราเองนั่นแหละที่เป็นมิตรของเราอย่างแท้จริง ถึงที่สุดแล้วเราจะสุขก็เพราะเราจะปลอดพ้นจากทุกข์โศกก็เพราะเรา แต่จะทำอย่างไรเล่าเราจึงจะเป็นตัวของตัวเองได้ นี่เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว เหตุปัจจัยนั้นมีมากแต่ข้อที่แน่นอนที่สุดก็คือ คนจะเป็นตัวของตัวเองได้ก็ต่อเมื่อมีปัญญาชนิดที่ตนวางใจได้ว่าสามารถทำให้แลเห็นโลกและชีวิตตามที่เป็นจริงได้ กล่าวอย่างถึงที่สุดคนที่เป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริงคือพระอรหันต์นั่นเอง เพราะปัญญาของท่านได้พัฒนาถึงขั้นสูงสุด บุคคลเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องเชื่อใครศรัทธาใครอีกต่อไป เพราะสามารถแลเห็นได้ด้วยตัวเองหมดสิ้นอย่างตรงกับความเป็นจริง สิ่งที่ควรรู้ก็รู้ด้วยปัญญาของตัวเองแล้ว ไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงปัญญาหรือสายตาของใครอีกต่อไป เป็นตัวของตัวเองชนิดที่ไม่ถูกครอบงำจากสิ่งอื่นใดแม้กระทั่ง กิเลส ตัณหา หรืออวิชชา
แต่ถ้าพูดกันแบบโลกๆ หรือโลกิยะ แทนที่จะพูดเรื่องโลกุตตระปัญญาที่จะเป็นเหตุปัจจัยให้เป็นตัวของตัวเองก็คือ การมีเกณฑ์วินิจฉัยที่สามารถใช้พิจารณาตัดสินหรือเป็นแนวในการดำเนินชีวิตได้ เช่น รู้ว่าอะไรคือสาระอะไรมิใช่สาระของชีวิต ถ้าเรามีเกณฑ์การดำเนินที่แจ่มชัดรู้แน่ว่าแก่นของชีวิตคืออะไร เราก็สามารถดำเนินชีวิตไปได้อย่างแน่วแน่ไม่ต้องคอยเงี่ยหูฟัง หรือคอยชำเลืองว่าคนรอบข้างเขาจะทำอะไร เพื่อว่าเราจะได้ทำตามเขา ถ้าเรารู้ว่าสาระของชีวิตคือ อะไรแล้ว เราจะหวั่นวิตกหรือรู้สึกด้อยได้อย่างไรเมื่ออยู่ท่ามกลางคนที่มั่งคั่ง ร่ำรวย มีหน้ามีตา แม้คนเหล่านั้นจะเป็นเพื่อนเราเราก็ไม่รู้สึกด้อยกว่าเขาเพราะ เรามั่นใจในวิถีชีวิตของเรา และที่สำคัญก็คือ เรามีความสุขกับชีวิตของเรา ความสขุที่เราประสบสัมผัสจากวิถีชีวิตตามแบบของเราจะช่วยให้เรามั่นใจในแนวทางที่เรากำลังดำเนินอยู่ ความสุขนี้ก็คือ ปัจจัยที่ ๒ รองจากปัญญาที่จะทำให้เราเป็นตัวของตัวเอง ถ้าเรามีความสุขกับการแต่งกายที่เรียบง่าย เราจะไปหวั่นไหวอะไรกับเพื่อนๆหรือคนรอบข้างที่แต่งตัวสวิงสวายมีลวดลายแพรวพราวไปทั้งตัว
ปัญญาและความสุขจะช่วยให้เราเอาชนะโลกธรรมที่คอยโน้มน้าวเราไปตามโลกได้ บ่อยครั้งที่เราหันเหไปตามสังคมหรือคนส่วนใหญ่ก็เพราะเราต้องการ ชื่อเสียงหรืออย่างน้อยก็ต้องการการยอมรับจากสังคม สังคมเขายกย่องคนเก่งยอมรับคนมีหน้ามีตาคนมีฐานะการงานสูงส่งหรือคนมีความมั่นคงในชีวิต เราก็เลยอยากเป็นคนเก่ง มีฐานตำแหน่งหรือมีทรัพย์สินอย่างเขาบ้าง คราใดที่มิได้เป็นเช่นนั้น ก็รู้สึกด้อยขาดความนับถือหรือเชื่อมั่นในตนเอง แต่เมื่อใดเรามีปัญญาเราย่อมแลเห็นได้เองว่า การยกย่องชื่อเสียงและการยอมรับจากสังคมนั้นเป็นของมายาเป็นของชั่วครั้งชั่วคราว และไม่ทำให้เรามีความสุขเลย เพราะต้องคอยวิ่งไล่ตามสังคมอยู่ร่ำไปเกิดความรู้สึกด้อยอยู่ร่ำไป เมื่อใดที่เรามีความรู้สึกเป็นสุขกับ ชีวิตที่เรียบง่ายสงบ และเกื้อกูลมีสายสัมพันธ์อันดีกับธรรมชาติและมิตรสหาย เราย่อมหัวเราะเยาะชีวิตที่ต้องขวนขวายใฝ่ตามสังคมปัญญาและความสุขเป็น สิ่งจำเป็นสำหรับการเป็นตัวของตัวเองก็เพราะหากเราไม่ดำเนินตามสังคม สังคมนอกจากจะไม่ตบรางวัลแก่เราแล้ว บางทียังจะรังแกกลั่นแกล้งเราด้วย
อย่างต่ำๆก็ดูแคลนหยามเหยียดเราปฏิกิริยาจากสังคมเช่นนี้ เราจะเอาชนะได้ต่อเมื่อมีปัญญาและความสุข ในทางพุทธถือว่า บัณฑิตผู้มีปัญญานั้น แม้ในยามทุกข์ก็ยังรู้จักหาความสุขอยู่ได้ ปัญญาทำให้เราเป็นอย่างที่ฝรั่งเรียกว่า enjoy suffering และเมื่อถึงขั้นนั้น เราย่อมจะมีความกล้าที่จะทวนกระแสสังคม ความกล้าจึงเป็นปัจจัยที่ ๓ รองจากปัญญาและความสุข
(มีต่อ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น