เราจะเป็นตัวของตัวเองได้เมื่อมีความกล้าที่จะยืนหยัดในสิ่งที่ตนเชื่อ กล้าที่จะเผชิญกับการรังเกียจของสังคม กล้าที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยว อย่างไม่รู้สึกหงอยเหงา จะว่าไปแล้วความเป็นตัวของตัวเองในทางปฏิบัติจะเกิดขึ้นได้จริง มิใช่เป็นเพียงในขั้นความคิด ต่อเมื่อมีความกล้าที่ยอมเสี่ยงทวนกระแสสังคมดู จริงอยู่ปัญญาหรือสัมมาทิฐิเป็นปัจจัยข้อแรก แต่สำหรับปุถุชนแล้วปัญญาดังกล่าวเป็นเพียงขั้นความคิดขั้นสมอง ยังไม่ลงไปถึงหัวใจยังไม่แผ่ซ่านไปถึงขั้นวิถีชีวิต จะให้ลงไปถึงใจถึงวิถีชีวิตได้ ต่อเมื่อลงมือปฏิบัติ ซึ่งจะทำได้ต้องอาศัยความกล้า หรืออาจรวมถึงกระทั่งความบ้าบิ่น หากไม่มีสิ่งนี้แล้ว เราก็มีแต่จะปอดไม่กล้าเสี่ยงเสียที และถ้าไม่เสี่ยงลองทำดูแล้ว ย่อมยากจะพบแง่มุมที่เป็นความสุข ความภาคภูมิใจและความเชื่อมั่นในตนเองได้ ทีแรกที่ทำอาจกระอักกระอ่วนใจ ตื่นเต้น หนาวสั่น แต่นานเข้าก็จะเริ่มรู้สึกภาคภูมิใจ เป็นสุขที่ได้ทำในสิ่งที่ตนเห็นว่าถูกว่าควร และเมื่อทำบ่อยเข้ามีความสุขมากเข้าปัญญาก็จะเพิ่มขึ้น เห็นแง่มุมใหม่ๆของวิถีชีวิตเช่นนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเท่ากับเสริมความเป็นตัวของตัวเองให้มั่นคงขึ้นเป็นลำดับ ความกล้าเป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝนมากโดยเฉพาะสำหรับปัญญาชน เราอาจจะคิดได้ดี คิดได้เก่ง แต่ก็มักจะทำได้เพียงแค่นั้น ไม่มีความกล้าพอที่จะทำให้ เห็นเป็นมรรคเป็นผล
ดังนั้น ข้อต่อมาในการสร้างความเป็นตัวของตัวเอง ก็คือ สร้างกล้าให้เกิดขึ้น ฝึกใจให้กล้าที่จะแสดงความเห็นขัดแย้งกับคนอื่นที่เราไม่เห็นด้วยตามเขา ฝึกใจให้กล้าที่จะใช้ชีวิตเรียบง่าย รวมไปถึงการแต่งตัวที่ทวนกระแสสมัยนิยมอันฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เราอาจฝึกความกล้าได้จากการแต่งตัวที่คนแวดล้อมอาจเห็นว่าไม่น่าดู เชย ไร้รสนิยม ความจริงแล้วคนที่เป็นตัวของตัวเอง ไม่มีความจำเป็นที่จะ ต้องแสดงอากัปกิริยาภายนอกให้แตกต่างจากคนอื่นโดยตั้งใจ แต่สำหรับบางคนใน ขั้นเริ่มต้น อาจจำเป็นต้องหมั่นทรมานความปอดกลัวและพยายามขัดขืนอารมณ์ ความรู้สึกที่หวั่นไหวไปกับการเพ่งมองของคนรอบข้างด้วยการทำอะไรแหวกจากคนทั่วไปในสังคม เช่น บางทีก็ใส่กางเกงขาก๊วยออกงานใหญ่บ้าง ใส่กางเกงขาสั้นเตร็ดเตร่ตามท้องถนนบ้าง งานใดที่คนอื่นเขาแต่งตัววิลิสมาหรา เป็นต้องแต่งตัว ปอนๆที่เขาทำเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะเห็นว่าการทำตัวผิดแปลกจากคนอื่นนั้นเป็นของดี แต่เพราะเห็นว่านั่นเป็นมรรควิธีที่จะสั่งสมความกล้าให้เกิดขึ้น และทำลายความรู้สึกหวั่นไหวไปตามสังคม ทำไปนานๆเข้าก็เคยชินจนไม่สนใจว่าสังคมเขาจะมองเราอย่างไร ตอนหลังก็อาจจะย่ามใจเสริมความกล้าให้มากขึ้นด้วยวิธีอื่นที่เสี่ยงหรือทวนกระแสยิ่งขึ้น
เราจะใช้วิธีใดก็แล้วแต่ข้อสำคัญก็คือ จะต้องพิจารณาปัจจัยแวดล้อมตลอดจนความพร้อมหรือ “บารมี” ของตัวเองด้วยให้แน่ใจระดับหนึ่งว่า จะสามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากการกระทำที่ผิดแปลกของเราได้ หรืออย่างน้อยก็เชื่อว่าจะเตรียมตัวเตรียมใจกับมันได้ นั่นคือต้องใช้ปัญญาไตร่ตรองดูด้วย แต่มิใช่คิดเลยเถิดมองไปทางไหนก็เห็นแต่ปัญหาและอุปสรรคเต็มไปหมดจนไม่กล้าทำอะไรเลย ประเด็นนี้โยงไปถึงข้อที่ควรคำนึงประการต่อมาก็คือ การกระทำดังกล่าวจะต้องมีเหตุผลที่ถูกที่ควรเป็นพื้นฐานรองรับอยู่ด้วย หรืออย่างน้อยๆ ก็เป็นการฝืนสมัยนิยมโดยไม่เบียดเบียนผู้อื่น และไม่ได้ทำเพราะ ประสงค์ให้ตัวโดดเด่นเป็นเป้าสายตาของผู้คน ถ้าทำเช่นนั้นได้ความกล้าที่เกิดขึ้นจะเป็นคุณแก่เรา ยิ่งถ้าการกระทำดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความกล้าในการแสดงออกไปพร้อมๆกับการท้าทาย หรือประท้วงค่านิยมแบบแผนที่ไม่ถูกต้องด้วยแล้ว จะเป็นการฝึกฝนให้เราเป็นคนมั่นคงในหลักการ พร้อมจะคัดค้านกับสิ่งผิดและเชื่อมั่นในการกระทำที่ถูกต้อง แม้มหาชนจะไม่เข้าใจหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม นี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการเสริมสร้างและสะท้อนความเป็นตัวของตัวเองที่ถูกต้อง
แต่ถ้าเราไม่คำนึงถึงความถูกต้องหรือใช้ปัญญาไตร่ตรอง สนใจแต่จะทำตัวให้แปลกแหวกแนวอย่างเดียว เราก็กำลังจะหลงทิศหลงทาง จริงอยู่การทำตัวคล้อยตามสังคมตะพึดตะพือนั้นมิใช่การแสดงถึงความเป็นตัวของตัวเอง แต่หากเข้าใจไปอีกทางหนึ่งว่า การเป็นตัวของตัวเองนั้นหมายถึงการทำตัวให้แตกต่างจากคนอื่น โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างแบบฉบับเฉพาะตัวให้ผิดแปลกไปจากสังคมแล้ว นั่นเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ เพราะจะว่าไปแล้วการกระทำเช่นนั้นก็ชี้ให้เห็นถึงความไม่เป็นตัวของตัวเองในอีกด้านหนึ่งนั่นเอง เพราะเราจะต้องคอยเอาพฤติกรรมหรือแบบแผนของสังคมมากำหนดวิถีชีวิตและการประพฤติปฏิบัติของเราตลอดเวลาเช่นเดียวกับที่คนส่วนใหญ่ในสังคมเขากำลังทำกันจะต่างกันก็แต่เพียงว่า แทนที่เราจะเอาแบบแผนของสังคมมาเป็นหลักยึดให้เราโน้มเข้าหาเราก็กลับมาเอาเป็นเกณฑ์วัดความแตกต่างเพื่อที่จะหนีห่างออกไปให้ไกล
การกระทำเช่นนี้อาจต้องใช้ความกล้าอยู่มาก แต่ก็เป็นความกล้าที่สุ่มเสี่ยงอย่างไร้ปัญญา โดยที่ลึกๆแล้วก็สะท้อนถึงความอ่อนแอสับสนและรู้สึกด้อยในตนเอง เนื่องจากหาคุณค่าชีวิตไม่พบจึงต้องมาแสวงหาคุณค่าและความหมายจากสิ่งผิดเพี้ยนพิสดารแบบนั้น คนประเภทนี้นับวันเราจะเห็นมากขึ้นทุกที ไม่ว่าตามศูนย์การค้าใหญ่ๆหรือในฝูงรถซิ่งทั้งหลาย
ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่น่าพูดถึงไว้เป็นประเด็นสุดท้ายก็คือ การพึ่งพาตัวเองในทางวัตถุหรือในทางเศรษฐกิจ สิ่งนี้จะช่วยเสริมความเป็นตัวของตัวเองให้มีมากขึ้น ทำให้ผู้อื่นมีอิทธิพลหรือกำหนดชีวิตเราน้อยลง ข้อนี้จะสำคัญก็ได้ไม่สำคัญก็ได้ แต่โดยทั่วไปแล้วเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนทั่วไปมาก หากเราต้องขอเงินพ่อแม่ใช้หรือต้องพึ่งพิงเงินทองของผู้อื่นอยู่ โอกาสที่พ่อแม่หรือคนที่ให้เงินเลี้ยงดูเรานั้น จะมีอิทธิพลถึงขั้นกำหนดชีวิตของเราก็มีมาก แม้เมื่อมีครอบครัวก็ยากจะเป็นอิสระหรือเป็นตัวของตัวเองได้อย่างแท้จริง จนแม้กระทั่งเมื่อความรักจืดจางกลางเป็นความรังเกียจ ระหองระแหง ผู้หญิงอยากจะสลัดไปจากผู้ชายแต่ก็ทำไม่ได้เพราะไม่รู้จะไปทำมาหากินของตัวเองได้อย่างไร สภาพเช่นนี้ก็มีอยู่มากไม่เฉพาะในประเทศนี้ แม้ประเทศมั่งคั่งอย่างสหรัฐฯก็มีปัญหานี้อยู่เหมือนกันนี้ว่า เฉพาะระดับบุคคลยิ่งระดับประเทศด้วยแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเลยเพราะการพึ่งพิงทางเศรษฐกิจก็เท่ากับการตกเป็นข้ารับใช้ของประเทศจักรวรรดินิยมนั่นเอง
การพึ่งตัวเองทางเศรษฐกิจนั้นมีได้หลายระดับ การมีเงินเดือนเป็นของตัวเองก็อยู่ในข่ายนี้ แต่บางคนอาจเห็นว่ายังไม่เป็นการพึ่งตัวเองเท่าไร เพราะเวลาป่วยก็ต้องพึ่งหมอจะกินข้าวก็ต้องพึ่งตลาดอะไรต่ออะไรก็ต้องใช้เงินซื้อ การพึ่งตัวเองอีกระดับหนึ่งจึงได้แก่การทำอะไรด้วยตัวเอง ดูแลรักษาตัวเอง ปลูกผักต่อเก้าอี้ด้วยตัวเองอย่างนี้เป็นอีกขั้นหนึ่ง แต่โดยสรุปประเด็นก็คือ การเป็นตัวของตัวเองที่แท้จริงนั้นไม่อาจแยกจากการพึ่งตัวเองได้ไม่ว่าในทางวัตถุหรือจิตใจ เราจะเป็นตัวของตัวเองได้ต่อเมื่อสามารถยังชีพดำรงชีวิตด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองและมีความสุขจากภาวะภายในของตนเอง ยิ่งกว่าความสุขจากวัตถุสมบัติภายนอกหรือหากยังไม่อาจพัฒนา ถึงขนาดที่จะเป็นอิสระจากวัตถุก็สามารถมีความสุขจากสิ่งเรียบง่ายรอบตัว โดยไม่ต้องซื้อหาปรุงแต่งมากมายความสุขนี้รวมไปถึงความสุขจากวิถีชีวิตของตนยิ่งกว่าความสุขจากการยอมรับของสังคมที่เรียกว่าโลกธรรม คนเป็นอันมากมักมีปัญหาตรงประเด็นนี้ เพราะแม้จะพึ่งตนเองได้ในทางวัตถุหรือในทางเศรษฐกิจ แต่กลับพึ่งพิงสังคมในทางจิตใจ
ความสขุของตนขึ้นอยู่กับการยอมรับของคนรอบข้างหรือสังคมแวดล้อม คนรอบข้างชมเราก็ปลื้ม เขาติ เราก็เสียใจหรือโกรธ ผลก็คือเราต้องพยายามทำตัวให้เขาชมอยู่ร่ำไป นี่ก็เท่ากับว่าให้เขามามีอิทธิพลเหนือตัวเรา จริงอยู่ปุถุชนไม่อาจเป็นอิสระในทางจิตใจจากสังคมได้อย่างถึงที่สุด จนกว่าจะเป็นพระอรหันต์ แต่เราสามารถลดทอนการพึ่งพิงนั้นให้เบาบางได้ เมื่อเขาชมเราก็ไม่ดีใจมาก แม้เขาตำหนิก็ไม่เสียใจมากถือเป็นความเห็นส่วนตัวของเขา ข้อสำคัญอยู่ที่เรากล้าที่จะตำหนิตัวเองได้หรือไม่
ความเป็นตัวของตัวเองในความหมายที่แท้จริงคือ ความเป็นอิสระทางใจนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกว่าจะถึงจุดนั้นได้ต้องผ่านความหงอยเหงาและเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เมื่อเป็นอิสระได้ตามลำดับขั้นของปัญญาเราจะรู้สึกถึงความสุขอย่างลึกๆเป็นลำดับ แม้จะไม่หวือหวาเหมือนความรู้สึกพึ่งพิงผูกพันกับ ใครคนใดคนหนึ่งหรือกับสังคมก็ตาม ความเป็นอิสระทางใจจึงเป็นกระบวนการที่ควรฟันฝ่าพยายามอย่างต่อเนื่องให้งอกงามเป็นลำดับ ถึงแม้ไม่อาจสำเร็จได้โดยง่าย แต่ก็ให้ผลตอบแทนในบั้นปลายที่คุ้มค่ายิ่ง
ถ้าเราพัฒนาความเป็นตัวของตัวเองอย่างถูกต้องมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงที่สุดแล้วความเป็นตัวของตัวเองจะมิใช่เรื่องสำคัญสำหรับเรา เราจะไม่สนใจว่าเอกลักษณ์ของเราคืออะไร เรามีแบบฉบับของตัวเองหรือไม่และคนภายนอกมีอิทธิพลต่อเรามากน้อยเพียงใด สิ่งที่มีความหมายกว่านั้นก็คือ การดำเนินชีวิต ด้วยสติปัญญาอย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง และอำนวยประโยชน์แก่สรรพชีวิตให้มากที่สุด ความเป็นตัวของตัวเองในความหมายที่เป็นอิสระอย่าง แท้จริงนั้นก็คือการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ โดยไม่สนใจที่จะต้องทำตัวให้โดดเด่นผิดแปลกจากคนอื่น เพื่อให้เขายอมรับในความมีอยู่ของเรา แต่เราไม่จำต้องรอให้เป็นพระอริยะก่อนจึงจะเข้าถึงภาวะเช่นนั้นได้ การฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ปัญญาและวิริยะความอาจหาญอย่างถึงที่สุด จนเชื่อมั่นในความสุขจากภาวะภายในก็สามารถช่วยให้ปถุชนอย่างเราๆนี้แหละเคลื่อนสู่ภาวะดังกล่าวได้
ข้อสำคัญก่อนอื่นใดก็คือ เราจะต้องเข้าใจความเป็นตัวของตัวเองในแง่ที่เป็นอิสระทางใจที่ปลอดพ้นจากการรัดรึงของตัณหา อวิชชา และการติดยึดในเรื่องอนัตตา มิใช่มองในเง่ที่จะเสริมสร้าง “ตัวกูของกู” ให้พอกหนาและโดดเด่นเหนือคนอื่น ความเข้าใจผิดประการหลังนี้มีแต่จะทำให้เราตกเป็นทาสของสังคม แวดล้อมและติดกับดักที่เราสร้างขึ้นเองอย่างหาความเป็นตัวของตัวเองไม่ได้เอาเลย
ชมรมกัลยาณธรรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น