ชีวิตในเมืองที่ยุ่งเหยิงสับสน บ่อยครั้งทำให้เรานึกถึงป่าเขาลำเนาธารอันรื่นรมย์ ความพลิกเปลี่ยนผันแปรอย่างรวดเร็วของสิ่งรอบตัวจนปรับใจแทบไม่ทัน ทำให้เรานึกถึงความสงบเคลื่อนคล้อยอย่างช้าๆของธรรมชาติยิ่งชีวิตในกรุงแห้งแล้งมากเท่าไรธรรมชาติก็ยิ่งมีแรงดึงดูดใจมากเท่านั้น
เราทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่ไม่อาจแยกจากกันได้ แม้ว่าชีวิตในเมืองจะเคลือบคลุมความจริงข้อนี้เกือบทุกอย่างกลายเป็นสิ่งประดิษฐ์สังเคราะห์ ไม่ว่าที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และกระทั่งอาหาร ซึ่งเราแทบไม่รู้เลยว่ามีธรรมชาติเป็นแหล่งที่มาได้อย่างไร แม้แต่วิถีชีวิตเราก็ถูกกำหนดโดยจังหวะของนาฬิกา และเครื่องจักร ยิ่งกว่าเป็นไปตามจังหวะของธรรมชาติ ความสัมพันธ์ของเราทั้งหลายก็เป็นไปตามหัวโขนตามตำแหน่งหน้าที่ ชาติชั้น วรรณะ มิใช่สายสัมพันธ์ฉันเพื่อนมนุษย์เผ่าพันธุ์เดียวกัน สรรพชีวิตในธรรมชาติที่เป็นมิตรร่วมโลกก็ถูกบังคับขับไสให้มาสนองความต้องการของพวกเรา แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่อาจตัดขาดจากธรรมชาติได้ หากใจเราไม่กระด้างจนเกินไป เราย่อมยินกระแสเสียงจากภายในร้องเรียกให้เราคืนสู่ธรรมชาติ
คราใดที่อยู่เบื้องหน้าทะเล ละหานห้วย และเวิ้งฟ้า ลองปิดวิทยุเครื่องเทป วางหนังสือ และว่างเว้นจากการพูดคุยดื่มกินสักพัก เพียงน้อมใจสู่ธรรมชาติสักชั่วเวลาหนึ่ง เมื่อตะกอนอารมณ์ความคิดที่เคยฟุ้งซ่านสร้างความขุ่นมัวแก่จิตใจได้นอนสงบนิ่ง ณ ก้นบึ้งของหัวใจทีละน้อยๆ เราจะได้ประจักษ์กับความสงบระงับ ซึ่งมีรสบันดาลใจยิ่งกว่าอารมณ์ที่เร้าจิตกระตุ้นใจเสียอีก ในภาวะเช่นนี้ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่เคยปลุกใจให้วาบหวามตื่นเต้น จะกลับมีพลังดึงดูดใจเราน้อยลง ขณะที่สิ่งที่ซึ่งเคยดูจืดชืดกลับมีเสน่ห์อย่างเรียบๆ แต่ล้ำลึกยิ่งนัก ถึงตรงนี้เราจะเริ่มประจักษ์แก่ใจว่าอะไรคือสิ่งที่ชีวิตของเราต้องการจริงๆ อะไรที่เป็นเพียงของชั่วครู่ชั่วยามที่มาแล้วก็ผ่านไป และอะไรเล่าที่ควรค่าแก่การเป็นหลักพิงอิงอาศัยของจิตใจเรา
นักท่องเที่ยวที่มีปัญญาย่อมอาศัยธรรมเป็นปัจจัยน้อมนำไปสู่ภาวะอันประณีต ยิ่งกว่าเป็นเพียงฉากหลังของสันทนาการการละเล่น หรือความบันเทิงจากเครื่องยนต์กลไกธรรมชาติแห่งป่าเขาท้องทะเลนี้เองจะน้อมนำให้เราได้เข้าถึงธรรมชาติภายในตัวเรา ธรรมชาติที่รอการค้นพบของเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และการค้นพบตามลำดับขั้นนี้เองจะน้อมนำให้เราได้ประจักษ์ว่าธรรมชาติภายในนี้ทรงคุณวิเศษยิ่งกว่าธรรมชาติภายนอกที่เราแลเห็นความสุข สงบ รำงับ จาก ภาวะจิตภายในดื่มด่ำฉ่ำชื่นยิ่งกว่าความสุขจากป่าเขาท้องทะเลเสียอีกเป็นความประณีตลึกซึ้ง ซึ่งในที่สุดแล้วเราสามารถประสบสัมผัสได้ทุกขณะ ในที่ทุกสถานโดยไม่จำต้องเดินทางหลีกเร้นไปที่ไกลๆ
เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ชีวิตอันผาสุกย่อมมีได้ด้วยการธำรงความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ การกลับสู่ธรรมชาติเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคุณภาพชีวิต แต่นี้ไม่จำเป็นต้องหมายความว่าจะต้องไปสู่สถานหลีกเร้น การคืนสู่ธรรมชาติที่แท้และมีความหมายยิ่งกว่านั้นคือ การกลับสู่ธรรมชาติภายในตัวเราเอง กลับไปเพื่อการค้นหาและรู้ซึ้งถึงตัวเราเข้าใจตนตามที่เป็นจริง และรู้จักธรรมชาติของจิตใจเรา อะไรที่ทำจิตเราให้เหนื่อยอ่อน ยังให้แจ่มใส ทุกข์สุขภายในเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และทำไมเราจึงหัวปักหัวปำไปกับมันได้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ฯลฯ การหมั่นพินิจตนและการฝึกฝนใจอย่างต่อเนื่องจะนำเราเข้าสู่ธรรมชาติของตัวเราลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ และยังความผาสุกสงบแก่จิตใจเป็นความแจ่มกระจ่าง ในขณะที่ผู้คนพากันหลับไหลเป็นความสงบในท่ามกลางเมืองกรุงอันจอแจแออัด นี้มิใช่ภาวะที่เกิดจากการปลีกตัว และหมกมุ่นกับตัวชั่วนาตาปีแต่เป็นภาวะที่จะเอื้อให้การเกื้อกูลผู้อื่นเป็นไปอย่างมีพลังแน่วแน่และมั่นคง
การคืนสู่ธรรมชาติโดยนัยนี้ มิต้องเริ่มต้นที่ภูหลวงตะรุเตาหรือเขาใหญ่ แต่สามารถเริ่มต้นที่จิตใจของเราตรงนี้และเดี๋ยวนี้ได้ทันที
ชมรมกัลยาณธรรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น