วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

รู้ทางมาของอุปาทาน

          อาการคดิเองเออเองเกิดขึ้นได้กับทุกคน  เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็สามารถเชื่ออะไรเพี้ยนๆได้โดยไม่ต้องมีหลักฐานซึ่งจะเพี้ยนขนาดไหนก็สุดแท้แต่ว่าอาการคิดเองเออเองจะ‘หนัก’ ขนาดไหน! 
          ที่จัดว่าเป็นคนปกติเมื่อเกิดอาการคิดเองเออเองนั้นจะรู้ตัวทันที หรือในเวลาไม่ช้าว่านั่นเป็นอาการด่วนคิดด่วนสรุป ต้องรอดูก่อนว่าหลักฐานเป็นอย่างไร สมเหตุสมผลแค่ไหน อย่างเช่น ซื้อหวยเพราะผันว่าจะถูกหวย ก็รอตรวจเลขเสียก่อนที่จะกระโตกกระตาก เมื่อถูกจริงค่อยลิงโลดเมื่อผิดไปก็ยอมรับว่าผันทั้งเพ  ไม่ใช่ทึกทักว่าจะถูกรางวัลที่ ๑ แล้วก็ปักใจยึดอยู่อย่างนั้น พล่ามพูดโฆษณาให้ฟังทั้งหมู่บ้านไม่เลิก 
          แต่ถ้าจัดว่าเป็นคนเกือบผิดปกติ เมื่อเกิดอาการคิดเองเออเองแล้วจะ ‘ไม่อยากยอมรับ’ ว่าตัวเองด่วนคิด ด่วนสรุป ทว่ก็ยังสองจิตสองใจสับสนอยู่ว่าตัวเองคิดถูกแน่หรือไม่  ่อย่างเช่น ใจนึกชอบใคร ก็จะสังเกตหรือจับจุดเล็กจุดน้อยเพื่อสนับสนุว่าเขาชอบตนเช่นกัน  แต่ก็ไม่กล้าถามให้รู้เรื่องตรงๆ เพราะลึกๆหวั่นอยู่ว่าอาจไม่ใช่อย่างที่คิดนั่นเอง 
          ส่วนที่จัดว่าเป็นคนผิดปกติเต็มๆ  เมื่อเกิดอาการคิดเองเออเองขึ้นมาจะ ‘ไม่ยอมรับเลย’ว่าตัวเองด่วนคิด ด่วนสรุปยังดึงดันจะเอาความเชื่อของตนเป็นใหญ่ไม่สนใจหลักฐานต่อให้ใครหาหลักฐานมายืนยันว่าคิดผิดก็ไม่ยอมจำนนอยู่ดียังคงเดินหน้ายืนกรานตามอุปาทานของตนไม่เลิกอย่างเช่นคิดว่าตัวเองมีบุญมากกว่าใครสำคัญกว่าใคร ตนคู่ควรกับชะตาหรูๆเท่านั้น ใครทำไม่ดีกับตนเป็นบาป แต่ตนทำไม่ดีกับใครไม่เป็นไรสิ่งที่ตนตัดสินใจฉลาดที่สุดสิ่งที่ตนเชื่อมีแต่ถูกับถูกเท่านั้น เหตผุลที่กลั่นออกมาจากสมองทั้งหมดก็เพื่อ  ‘ยืนยันความ เชื่อ’ ไม่ใช่เพื่อ ‘พิสูจน์ความเชื่อ’ ใดๆทั้งสิ้น
          คนประเภทผิดปกติเต็มๆนี้จัดเป็นอันตรายต่อสังคม เพราะคนเหล่านั้นสะกดจิตตัวเองให้คิดว่าเป็นร่างทรงของเทพเจ้าได้กล้ากักขังหน่วงเหนี่ยวคนที่ตัวเองแอบหลงรักได้พอไม่ชอบใครก็รู้สึกว่าเป็นความชอบธรรมที่จะกำจัดทิ้งได้ 
       ถ้าแน่ใจว่าคุณเป็นคน ‘ปกติ’ หรืออาจจะ ‘เกือบผิดปกติ’ คราวหน้าเมื่ออยากด่วนสรุปอยากทึกทักอะไรเพี้ยนๆ ขอให้สังเกตดูว่าตราบเท่าที่ยังคิดเองเออเองตราบนั้นจะยังปรากฏนิมิตภาพอะไรบางอย่างที่ไม่มีอยู่ในโลกความจริง หรือยังไม่เกิดขึ้นจริง นิมิตภาพนั้นมีผลขับดันให้นึกอยากพูดอะไรออกมาเป็นตุเป็นตะหรือพล่านคิดเป็นเรื่องเป็นราวประดจุนมิติภาพนั้น อาบมนต์มายาสะกดให้พล่ามหลุดจากขั้วความคิดเป็นเหตุเป็นผลปักแน่วไปในความเชื่อผิดๆเต็มประตู 

         ความเชื่อผิดๆเรียกว่า  อุปาทาน 

        ‘อุปาทาน’ คือ อาการที่จิตยึดมั่นสำคัญผิด หมายความว่า ยึดน้อย อุปาทานน้อย อันตรายน้อย แต่ถ้ายึดมาก ปุปาทานมาก  ก็อันตรายมาก 
         อุปาทานเป็นสิ่งที่พอกพูนได้ลดทอนได้อย่างเช่นผู้ที่ใช้เหตุผลแบบเป็นวิทยสศสสตร์จะสามารถทำอุปาทานให้เจือจางลง แต่ถ้าถึงขั้น ‘บูชาวิทยาศาสตร์เป็นสรณะ’ ก็มีสิทธิ์เกิดอุปาทานชนิดใหม่ขึ้นมาอีก กล่าวคืออะไรๆต้องพิสูจน์ได้จับต้องได้ด้วยหูตาหรือเนื้อตัวเท่านั้น
          เมื่อเป็นเช่นนี้ วิทยาศาสตร์จึงไม่อาจลดอันตรายอันเกิดจากความสำคัญผิดบางประการ เช่น  กรรมทำแล้วก็แล้วไปไม่มีผลข้างหน้า เป็นต้น เพราะเรื่องของวิบากกรรมเอามาพิสูจน์จับต้องกันด้วยมือไม้ไม่ได้
          แม้นักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก ‘รู้หมด’ ในสิ่งที่ตัวเองเชี่ยวชาญและทดลองอยู่ทุกวันแต่ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ตัวเองคิดประดิษฐ์ หรือการใช้สิ่งมีชีวิตสังเวยการทดลองให้ผลเป็นความกระด้างทางใจในปัจจุบันอย่างไร รวมทั้งจะให้ผลเป็นทุกข์แค่ไหนในอนาคต  ทว่าก็ทึกทักกันมานานแสนนานว่า ‘ไม่เป็นไร’ 
         วิธีที่จะลดทอนอุปาทานได้อย่างแท้จริง จำเป็นต้องอาศัยเครื่องชี้วัดที่เห็นได้ด้วยตาจับต้องได้ด้วยมือ รวมทั้งรู้สึกได้ด้วยใจว่า ใช่แล้ว ถูกแล้ว ดีแล้ว มีความชอบธรรมตรงตามสำมญัสำนึกแบบมนษุย์คนหนึ่งแล้ว 
          ยกตัวอย่างเช่น จะสำคัญมั่นหมายว่าตัวเองยิ่งใหญ่เหมือนยักษ์ หรือสว่างแจ้งเหมือนเทวดาจุติลงมาเกิดก็ตาม จริงหรือไม่จริงขอให้ยกไว้ก่อน แต่สิ่งที่ยกเว้นไม่ได้คือ ดูผลกระทบที่สังคมจะไดด้รับจากความเชื่อนั้นมีแนวโน้มไปในทางดีหรือทางร้าย 
          บางคนเชื่อว่าเป็นนั่นเป็นนี่แล้วไม่ทำอะไรมากไปกว่าเดินเบ่งไปวันๆข่มขู่ผู้คนให้ยำเกรงแบบไม่ต้องมีเหตุผลสมควร อันนี้ชัดเจนว่าเป็นความเชื่อที่ให้โทษ เพราะเชื่ออยู่เงียบๆคนเดียวไม่พอยังลากคนอื่นมาพลอยเดือดร้อนกับความเชื่อของตัวด้วย 
          ถ้าเทวดามีจริงก็ย่อมบังเกิดขึ้นด้วยมหากุศลกรรมที่เคยเกื้อกูลมหาชนไฉนจึงลงมาเดินดินอวดเบ่ง อยากข่มเหงรังแกใครเช่นนี้เล่า? 
          บางคนเชื่อว่าเป็นนั่นเป็นนี่แล้วเร่งทำความดี อนุเคราะห์ผู้คนและสรรพสัตว์ทั้งหลายแบบไม่เห็นแก่เหนื่อยยากอย่างนี้เป็นความเชื่อที่เป็นคุณชนิดไม่ต้องสงสัยเพราะไม่เก็บความเชื่อไว้ยังกระจายความเชื่อออกมาเป็นผลงานจับต้องได้ด้วย 
          จะเคยเป็นเทวดามาหรือเปล่าไม่รู้รู้แต่ว่าถ้าเทวดามีจริงก็น่าจะต้องเกิดขึ้นจากกรรมในการให้ทานรักษาศีลเป็นแน่ถึงหากแม้ว่าคุณจะ‘เชื่อผิด’คิดว่าเคยเป็นเทวดาทั้งที่ไม่เคยเป็นแต่ความเป็นจริงในอนาคตก็คือคุณจะต้องได้เป็นแน่นอนใครจะกล้าสงสัยได้เขากลับจะพากันเชื่อทั้งที่คุณไม่พูดประกาศสักคำด้วยซ้ำ
          เมื่อเห็นแน่แก่ใจว่า ความเชื่อของคุณไม่เป็นภัยกับใคร จะเห็นนิมิต ‘ฝ้าหมอกทเี่บาบาง’ หรือไม่มีฝ้าหมอกบดบังความจริงตรงหน้าอยู่เลย ตรงข้ามกับความเชื่อที่เป็นภัยกับคนอื่น  คุณจะรู้สึกถึงนิมิต ‘กำแพงหินที่หนาแน่น’ บดบังความจริงตรงหน้าอยู่อย่างยากจะทำลาย แม้รู้ทั้งรู้อยุ่ในส่วนลึกว่า อะไรถูกอะไรผิด อะไรจริงอะไรเท็จก็ตาม 
          คุณจะทราบด้วยว่า การเป็นผู้มีอุปาทานเบาบาง หรือมีอุปาทานอันไม่เป็นภัยกับคนอื่น คือการเป็นผู้มีสิทธิทำลายอุปาทานขั้นละเอียดที่ห่อหุ้มจิตได้
          อุปาทานขั้นละเอียดก็เช่น ยึดดีในสิ่งไม่เที่ยงไว้ด้วยความอยากให้มันเที่ยง ยึดในสิ่งไม่อาจทนอยู่เป็นตัวตนด้วยความอยากให้มันคงทนเป็นตัวตนเดิมไม่เลิก
          คุณจะทราบได้ด้วยใจในที่สุดว่า...

ผลของการ ‘ลดทอน’ อุปาทานได้ 
คือการลดทอนทุกข์เฉพาะตน
ผลของการ ‘ทำลาย’ อุปาทานได้ 
คือการไม่เป็นทุกข์ทั้งกับตนและคนอื่น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น