วิบากกรรมมีอยู่ ถ้าทำดีก็ต้องได้สว่างทางใจเดี๋ยวนั้น และวันหนึ่งต้องมีเรื่องดีตกมาถึงตัวตามมา แต่ถ้าชั่วก็ต้องได้มืดทางใจเดี๋ยวนั้น และวันหนึ่งต้องมีเรื่องชั่วมากระทบตนแน่นอน
ถึงแม้จะเริ่มระแคะระคายรู้เห็นแบบลูบๆคลำๆกระทั่งศรัทธาที่จะเดินหน้าทำดีมีแก่ใจงดชั่วบ้างแล้วแต่หากไม่รู้ทางสบายใจคุณก็จะไม่ได้ชื่อว่ารู้ทางไปดีกับเขาเลย
การไปดี หมายถึง การตายอย่างสบายใจใครจะรู้อะไรมากมายพิสดารปานไหน ถ้าใกล้ตายยังอยากอยู่ต่อยังตั้งหน้าตั้งตาส่งเสียงร้องว่า ชีวิตของเรา ชีวิตของเรา มองไม่เห็นความจริงว่าอะไรๆไม่เที่ยง อันนี้แปลว่ายังสบายใจไม่ได้ยังไปดีไม่ถูก
ขณะแห่งความตายเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆที่เกิดขึ้นครั้งเดียวชีวิต ตั้งแต่เกิดจนแก่เฒ่าไม่เคยพบประสบการณ์กายดับจิตดับเลย จึงไม่น่าแปลกใจที่เกือบร้อยทั้งร้อยเกือบล้านทั้งล้านไม่เห็นความสำคัญ ไม่นึกอยากตระเตรียม ไม่แม้กระทั่งอยากให้ใครพูดถึงขณะความตายกัน โดยตัดสินจากที่ ‘รู้สึกไม่ดี’ และโจทย์ที่ว่า ‘จะพูดให้มันได้อะไร?’
ข้อเท็จจริงก็คือถ้ามองว่าวันหนึ่งคุณไม่มีทางรอดพ้นจากความตายการเตรียมใจเป็นเรื่องสำคัญมำก ถึงขั้นตัดสินได้ทีเดียวว่าคุณจะตายดีหรือตายไม่ดีไปดีหรือไปร้าย
วิธีเตรียมก็อาจง่ายจนคุณนึกไม่ถึงว่าจะได้ผลจริงๆขอเพียงระหวำ่งมีชีวิตคิดบ่อยๆว่าถ้าต้องตายตอนนี้คุณมีความสบายใจไปตายไหม?
นิมิตทางใจจะบอกคุณเองว่า ถ้าจิตปลอดโปร่งสว่างไม่ห่วงข้างหลังไม่แม้แต่หวังข้างหน้า ก็มีอะไรดีๆรออยู่แน่ไม่ต้องกลัวอะไรเลยเพราะเห็นจาก‘รูปพรรณสัณฐำนดีๆ’ของจิต ณ บัดนั้นอยู่แล้ว
แต่หากเป็นตรงกันข้าม ถ้าไม่สบายใจมีเรื่องยุ่งๆเต็มหัว หรือคล้ายมีหนามแหลมระคายอยู่เต็มอกรกรุงรังหม่นมืด ห่วงมาข้างหลังกังวลไปข้างหน้า อันนั้นคงมีอะไรแย่ๆรออยู่มากกว่าอย่างอื่นต้องหนาวกันจริงๆแล้ว เพราะเห็นจาก ‘สภำพอัปลักษณ์’ ของจิต ณ บัดนั้นชัดเจน
สำรวจเข้ามาบ่อยๆเห็นนิมิตของจิตใจตัวเองบ่อยๆว่าโปร่งโล่งหรือรกทึบสงบหรือฟุ้งซ่านสุกสว่างหรือหม่นมืด แล้วจิตจะเริ่มฉลาดขึ้นเรื่อยๆฝึก‘เลือกทางไปดีให้ตัวเองตั้งแต่ยังเหลือเวลาเตรียมตัวอีกนานๆได้ ไม่มัวหลงเขลายึดมั่นถือมั่นเกี่ยวกับตัวเองคิดมากเกี่ยวกับตัวเองจริงจังกับตัวเอง ทั้งที่ในวาระท้ายสุดอย่างไรก็เอาตัวเองไม่รอดวันยังค่ำ!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น