วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

รู้ทางศรัทธาวิบากกรรม

          สำหรับคนทั่วไป  อย่าว่าแต่จะให้หยั่งรู้เรื่องกรรมวิบาก อย่าว่าแต่จะให้โยงถูกว่าชาติก่อนเคยทำกรรมอันใดมาจึงได้รับผลอยู่เห็นๆอยู่       เพราะกะแค่ให้ยอมรับว่าชาตินี้ที่ด่าเขาเราก็ทำที่โทษเขา เราผิดเอง ส่วนใหญ่ยังทำใจไม่ได้ยังแกล้งลืมแกล้งไม่รู้เรื่องทั้งที่ยังไม่ตายยังไม่ถูกลบความจำในชาตินี้เลยด้วยซ้ำ! 
          การแกล้งลืมแกล้งไม่รู้เรื่อง  แกล้งไม่เข้าใจว่าตัวเองก็มีส่วนผิด หรือตัวเองก็เคยทำ  เป็นกลไลสามัญที่เอาไว้สำหรับปกป้องตัวเอง หลายครั้งเพื่อหลอกตัวเองให้รู้สึกว่าไม่ได้ทำผิดไม่ได้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็อาจถึงกับใช้วิธีกระหน่ำด่าคนที่กำลังทำผิดแบบเดียวกัน  เพราะดูเหมือนว่า  ถ้าด่าคนอื่นหนักขนาดนั้นก็คงมีจิตสำนึกดีๆไม่คิดทำเสียเองเป็นแน่ 
          การปกป้องตัวเองแบบหยาบๆแกล้งฝังลบกลบลืมดื้อๆทำนองนี้มีผลให้จิตใจเบี้ยวผิดเพี้ยนก็แม้กระทั่งความจริงหยาบๆที่เห็นด้วยตาเปล่ายังปฏิเสธ   ไฉนเลยจะล่วงรู้ความจริงระดับที่ประณีตกว่านั้น ดังเช่น เรื่องของกรรมวิบากได้เล่า? 
          ความจริงระดับกรรมวิบากจะเห็นได้เพียงด้วยจิตที่มั่นคง  มีความตรงไปตรงมาเท่านั้น! 
          ตัวอย่างในชีวิตประจำวันที่ฝึกเห็นได้แบบชาตินี้ชีวิตนี้ก็เช่น ถ้าโดนใครทำร้ายจิตใจแล้วฝึกนึก ฝึกระลึก‘ทุกครั้ง’ว่า

          “เราก็เคยทำกับคนอื่นไว้” 

          ตอนแรกๆควันดำจากไฟโกรธอาจบังใจ จิตพร่ำเลื่อนจนนึกไม่ออกว่าเคยทำอย่างนี้ไว้กับใครที่ไหน แต่หลังๆพอฝึกนึกฝึกระลึกฝึกย้ำกระตุ้นจิตบ่อยเข้าว่า เคยทำ เคยทำ เคยทำ  ในที่สุดก็นึกออกบอกถูกขึ้นมาจริงๆ โดยอาจเกิดความทรงจำชนิดทวนลึกอย่างไม่น่าเป็นไปได้ เช่นเห็นตัวเองในวัยเยาว์เคยอาละวาดคิดร้ายพูดร้ายกับพ่อแม ่หรือกลั่นแกล้งผู้มีพระคุณให้เจ็บใจมาก่อนเป็นนิมิตที่ผุดขึ้นอย่างชัดเจนในใจ 
          ยิ่งฝึกระลึกบ่อยจิตยิ่งสะอาดยิ่งเที่ยงตรง  ยิ่ง ‘เห็นใจ’ ตนเองและ มนุษย์ทั้งหลายดุจใช้ตา ‘เห็นรูป’ ก็ไม่ปาน 
          ยิ่งสะอาดยิ่งเห็นใจชัดขึ้นเท่าไรก็จะยิ่งมีความสามารถในการระลึกแบบเชื่อมโยงรู้สึกเป็นจริงเป็นจังขึ้นเรื่อยๆว่า ไม่มีเหตุการณ์ทางจิตที่สำคัญๆอันใดที่เกิดขึ้นเองลอยๆโดยปราศจากเหตุผลเช่น เมื่อใด เจ็บปวดจากการถูกหลอกลวงคุณจะเห็น ‘ความเจ็บปวดประมาณนี้ของตน’ จากนั้นอาจเกิดวูบของการเห็น ‘ความเจ็บปวดประมาณนี้ของคนอื่น’  ขึ้นมาเป็นเงาซ้อน 
          แรกๆที่ประจักษ์นิมิตเชื่อมโยงกรรมและวิบากคุณอาจเห็นได้แค่‘ต้นเหตุรางๆ’ ว่า เพราะเคยมีกิเลส  เพราะเคยมีการก่อบาปก่อกรรม และเพราะเคยมีก้อนทุกข์ก้อนร้อนของคนอื่นเกิดขึ้นด้วยน้ำมือคุณ บัดนี้   จึงมีก้อนทุกข์ก้อนร้อนในคุณเกิดขึ้นจากน้ำมือผู้อื่นบ้าง 
          บทลงโทษที่เกิดขึ้นอาจมาจากน้ำมือของเจ้าตัวที่ถูกคุณกระทำแบบเตะมาเตะกลับหรืออาจจะเกิดขึ้นจากน้ำมือของใครอื่นที่ถูกจัดสรรให้เข้ามาอยู่ในเส้นทางลงโทษคุณแบบถูกที่ถูกเวลาก็ได้ทั้งนั้น 
          จะทราบแบบเลือนราง หรือรู้เห็นแบบกระจ่างจางปางก็ตามที  อย่างไรสาระที่ดีแน่ก็คือคุณจะเริ่มรู้ว่ากรรมมีผลจริงทำแล้วไม่หายไปไหน วิบากของกรรมต้องย้อนมาตกรางวัลหรือเล่นงานคุณเสมอ ได้แค่นี้คุณจะถือสาความไม่รู้ของมนุษย์น้อยลง  หรือกระทั่งนึกสงสารคนที่ทำร้ายจิตใจคุณมากขึ้นแล้ว!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น