สมดุลประการต่อมาซึ่งจำเป็นมากสำหรับ การดำเนินชีวิตในปัจจุบัน ก็คือ สมดุลระหว่าง ประโยชน์ตนกับประโยชน์ท่าน ที่่อาตมาพูดมา ทั้งหมดเป็นเรื่องประโยชน์ตน แต่วาคนเราโดยเฉพาะชาวพุทธไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่บำเพ็ญประโยชน์ตนเท่านั้น แต่ควรบำเพ็ญประโยชน์ท่านด้วย เดี๋ยวนี้ นักปฏิบัติธรรมจำนวนมากหรือผู้ใฝ่ธรรมจำนวน ไม่น้อยสนใจแต่เรื่องการทำตัวเองให้ดีมีความสุขแต่ว่าบ่อยครังก็กลัวไม่กล้าไม่อยากไปช่วยคนอื่นหรือช่วยเหลือส่วนรวม เพราะกลัวว่าจะทำให้ใจ ไม่สงบ เพราะฉะนั้นจึงปฏิเสธการงานหรือความ รับผิดชอบ อันนั้นก็ถือว่าเป็นชีวตที่ไม่สมดุล เพราะชีวิตที่สมดุลนั้นต้องบำเพ็ญทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน คนที่บำเพ็ญประโยชน์ทั้งสองพระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่าเป็นบัณฑิต อันที่จริงการบำเพ็ญประโยชน์ท่านไม่ใช่สิ่งตรงข้ามกับประโยชน์ตน เป็นสิ่งที่ส่งเสริมเกื้อกูลประโยชน์ท่านด้วย พูดอีกอย่างว่า การบำเพ็ญประโยชน์ท่านก็คือการบำเพ็ญประโยชน์ตนในอีกแง่หนึ่งด้วย ดังมีพุทธพจน์ว่า “เมื่อรักษาตนก็ชื่อว่ารักษาผูู้อื่น เมื่อรักษาผู้อื่นก็ชื่อว่ารักษาตนด้วย” มันไม่ได้แยกกัน อย่างเช่น เวลาเราเสียสละเพื่อส่วนรวม มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเกื้อกูลผูู้อื่น ตอนนั้นเรากำลังบำเพ็ญเมตตาธรรม และละความเห็นแก่ตัวตรงกันข้ามเมื่อใดก็ตามที่เรานึกถึงแต่ตัวเอง นั่นแสดงว่าอัตตาตัวตนหรือความเห็น แก่ตัวกำลังพอกพูนขึ้นมา นักปฏิบัติธรรมจำนวนไม่น้อยต้องการความสงบในจิตใจ แต่ว่าความสงบที่แสวงหา เป็นความสงบที่ตัดขาดจากโลกภายนอก เป็นความสงบที่เกิดจากการหลีกเลี่ยงกิจส่วนรวม หรือไม่สนใจช่วยเหลือผู้อื่น การทำเช่นนั้นเท่ากับเป็นการส่งเสริมความ เห็นแก่ตัวให้มากขึ้น เพราะว่านึกถึงแต่ตัวเอง แต่ ถ้าเราพยายามเปิดใจของเราให้กว้างแล้วก็นึกถึง ประโยชน์ของผู้อื่นด้วย เริ่มตั้งแต่การให้ทาน เวลาเราทำบุญให้ทาน เราก็ไม่ได้นึกถึงแต่ประโยชน์ที่ เราจะได้ แต่นึกถึงประโยชน์ที่จะเกิดแก่ผู้รับเป็น สำคัญ เราลองสังเกตดูใจเราบ้างไหม ว่าเวลาทำบุญ เรานึกถึงอะไร เรานึกถึงประโยชน์ที่อยากได้เข้าตัวหรือว่าประโยชน์ที่จะบังเกิดขึ้นแก่ผู้อื่น ถ้าเรา นึกถึงประโยชน์ที่ตนเองจะได้รับ ก็แสดงว่าทำบุญด้วยใจที่เจือกิเลส เพราะมีใจที่อยากจะเอาหรืออยากจะได้
การทำบุญอย่างนี้พระพุทธองค์ไม่สรรเสริญมีตอนหนึ่งที่พระองค์ตรัสว่า การให้ทานที่มีอานิสงส์น้อย คือการให้ทานอย่างมีใจเยื่อใย มีจิตผูกพัน มุ่งหวังสังสมบุญ ต้องการเสวยผลในชาติหน้า หรือแม้แต่การให้ทานด้วยคิดว่า “เมื่อเราให้ทานนี้ จิตย่อมผ่องใส จะเกิดความชื่นชมโสมนัส” ในเรื่องนี้ พระสารีบุตรก็สอนเช่นกันว่า “บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่ให้ทานเพราะเห็นแก่อุปธิสุข (โลกียสุข) ย่อม ไม่ให้ทานเพื่อภพใหม่ แต่บัณฑิตเหล่านั้น ย่อม ให้ทานเพื่อกำจัดกิเลส เพื่อไม่ก่อภพต่อไป กลับมาสู่ประเด็นที่อาตมาพูดไว้แต่แรกว่า คนเราอย่าคิดแต่จะเอาอย่างเดียว ต้องให้ด้วย การทำบุญ ถ้าเราทำไม่เป็น มันก็เป็นการพอกพูน ความอยากได้อยากเอาเข้าตัว ซึ่งก็เท่ากับไปเพิมพูนอัตตา เพิ่มพูนความเห็นแก่ตัวมากขึ้น แต่ถ้าเรา ทำบุญให้ทานโดยนึกถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นแก่ ผู้รับอยากให้เขาได้ความสุข ห่างไกลจากความทุกข์มีกำลังในการบำเพ็ญศาสนกิจหรือเพื่ออุปถัมภ์ พระศาสนา การตั้งจิตแบบนี้นอกจากเป็นประโยชน์ท่านแล้ว ยังช่วยลดละความเห็นแก่ตัวในใจเรา และถ้าเราจะสามารถทำได้มากกว่านั้น เช่น เป็น จิตอาสา เข้าไปช่วยเหลือเกื้อกูลส่วนร่วมดูแล รักษาสิ่งแวดล้อม ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก ก็ยิ่งดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น