วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2558

คิดเก่ง แต่หยุดคิดไม่ได้

          คราวนี้ขอพูดถึงสมดุลอีกอย่างหนึ่งที่สาคัญเหมือนกัน และสืบเนื่องมาจากที่่อาตมาพูดเมื่อสักครู่นี้ก็คือ สมดุลระหว่าง “การคิดเก่ง” กับ “การวางความคิดหรือหยุดความคิด” คนสมัยนี้คิดเก่งมาก  แต่ว่าหยุดความคิดไม่ได้ หรือวางความคิดไม่เป็น   เหมือนกับคนที่เรียนผูกแต่ไม่ได้เรียนแก้ การคิดก็เหมือนกับการผูกเชือก คนที่คิดเก่งจะเหมือนคนที่ผูกเชือกผูกปมได้เก่งมากเลย แต่แก้เชือกไม่เป็น คนที่คิดเก่งแต่วาไม่รู้จักวางความคิดก็เหมือนกับคนที่ปีนขึ้นต้นไม้แต่ว่าลงไม่ได้ ก็เลย ค้างอยู่บนยอดไม้ คนเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้นเยอะ เช่น คิดมากจนนอนไม่หลับ จะหยุดคิดหรือวางความคิดก็ไม่ได้ หลายคนกินก็คิด อาบน้ำก็คิด นั่งพักก็คิด  คิดตลอดเวลาจนฟุ้งซ่าน อยากจะหยุดก็หยุดไม่ไ ด้  คนสมั ย นี้จึงมีความกังวลสูงมาก เพราะว่าสมองคิดตลอดเวลา เวลาทำงานก็คิดถึงลูกที่บ้าน เป็นห่วงลูกมาก แต่พออยู่กับลูกที่บ้าน ก็กลับคิดถึงงาน เป็นห่วงงานก็เลยทำไม่ได้ดีสักอย่าง หลายคนตื่นขึ้นมาก็คิดทันที ถูฟันอาบน้ำก็คิดว่าจะทำอะไรกินวันนี้ ระหว่างที่ทำครัวก็นึกไปถึงการล้างจาน ระหว่างที่ล้างจานก็เป็นห่วงเรืองการเดินทางไปทำงาน ระหว่างที่นั่งรถไปทำงานก็เป็นห่วงเรื่องงานที่รออยู่ข้างหน้า คือคิดข้าช็อต ่่่้อยู่ตลอดเวลา ไม่อยู่กับปัจจุบัน และหยุดความคิดไม่ได้ สุดท้ายความคิดก็กลายเป็นนายเรา มันสั่งให้เราคิดตลอดเวลาไม่หยุดหย่อน  เดี๋ยวนี้คนบ้าคนวิกลจริตจึงมีเยอะมาก พูดไปเรื่อยเพราะความคิดมันสั่งให้พูดหยุดไม่ได้  นั่นคือผลลัพธ์ของคนที่คิดเก่งแต่หยุดคิดไม่ได้ วางความคิดไม่เป็นสังเกตว่าคนสมัยนี้เน้นเรื่องการคิดเก่ง คิดให้เร็ว ไม่ว่าโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือเกมโชว์ เขาจะสนับสนุนให้คิดเก่งคิดเร็วทั้งนั้น แต่ไม่เห็น มีที่ไหนสอนให้รู้จักวางความคิดเมื่อจำเป็นต้องวาง  ผลก็คือคนสมัยนี้เป็นโรคเครียดโรคประสาทกันมาก  ถ้าเราไม่อยากเป็นอย่างนั้นก็ต้องฝึกจิตให้รู้จักวางความคิด ถึงเวลาคิดก็คิด ถึงเวลาจะต้องพักก็วางความคิดได้ นี่ก็เป็นการปฏิบัติธรรมเหมือนกัน  มีการพัฒนาจิตหลายวิธีที่ช่วยให้เราสามารถวางความคิดได้ เช่นการทำสมาธิเวลาจิตครุ่นคิดตลอดเวลา แล้วปรุงแต่งอารมณ์ต่างๆ ตามมา เช่น  ความโกรธ ความเศร้าเสียใจ หรือความวิตกกังวล พอเราหันมาตามลมหายใจ จิตกำหนดลมหายใจเข้า ลมหายใจออก หรือบริกรรมว่าหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ ใจก็วางความคิดลงได้ การเจริญสติก็ช่วยได้มาก คือพอเผลอคิด ฟุงซ่าน ก็รู้ทันแล้ววางมันลงได้เผลอคิดเมือไหร่ก็รู้ทุกที และรู้ได้เร็ว จึงวางความคิดได้ แต่เวลาตั้งใจคิดก็คิดได้อย่างแน่วแน่มีสมาธิไม่วอกแวก  เพราะสติช่วยกำกับจิตให้อยู่กับเรื่องที่คิดทำให้คิดได้ต่อเนื่อง เราเคยฝึกวิธีวางความคิดแบบนี้บ้างไหม
           พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สอนครบเครื่อง นอกจากสอนให้รู้จักใช้ความคิดอย่างมีเหตุมีผลอย่างเป็นระบบที่เรียกว่า โยนิโสมนสิการแล้ว ในอีกด้านหนึงท่านก็สอนให้รู้วิธีการวางความคิดวางในที่นี้ มีความหมายหลายอย่าง เช่ น  รู้ทันความคิดฟุ้งซ่านแล้วก็วางความคิดนั้นลงได้ หรือละวางเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ไม่กังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงรวมทั้งละวางความยึดติดถือมันในความคิดที่เรียกว่า ทิฏฐุปาทาน อุปาทานคือความยึดติดถือมั่น คนเรามีทั้งความยึดติดถือมั่นในกาม ในทิฏฐิ ในศีลพรต (หรือระเบียบวิธีธรรมเนียมประเพณี) และในความสำคัญหมายว่ามีตัวตน  ทั้งหมดนี้มีฐานมาจากความคิดด้วยส่วนหนึ่ง แต่ว่าเพียงแค่ มีสติยังไม่พอที่จะวางได้อย่างสิ้นเชิง ต้องมีปญญาแก่กล้าจนแลเห็นว่ามันไม่มีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นได้เลยสักอย่าง แม้แต่ความคิดก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนที่จะยึดถือได้ ยึดถือเมื่อไหร่ก็เป็นทุกข์เมื่อนั้น เมื่อเห็นเช่นนี้ก็วางได้ ไม่ใช่วางได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว แต่วางอย่างสิ้นเชิงโดยไม่กลับมาแบกอีกเลย เช่น เดียวกับขันธ์ทั้งหลาย ซึ่งยึดเมื่อไหร่ก็ทกข์เมือนั้น อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นของหนักเน้อ การสลัดของหนักทิ้งลงเสียเป็นความสุข” คนทุกวันนี้เก่งในเรื่องการยึดแต่วางไม่เป็น เมื่อยึดหรือแบกแล้วก็ต้องรู้จักวางด้วย แต่นี่เรายึดเราแบกตะพึดตะพือ แล้วก็ไม่รู้ตัวเสียด้วย เลยเป็นทุกข์ หลวงพ่อชา สุภทโท ให้ข้อคิดที่ดีมาก ท่านสอนเป็นกลอนว่า “ทุกข์มีเพราะยึด ทุกข์ยึดเพราะยาก ทุกข์มากเพราะพลอย ทุกข์น้อยเพราะหยุด ทุกข์หลุดเพราะปล่อย” คนเราทุกวันนี้ทุกข์เพราะความคิดกันมาก ทุกข์เพราะยึดติดถือมั่นในความคิดเอาเป็นเอาตายกับความคิด ที่ตนยึดจนกระทั่งทะเลาะกัน ทะเลาะทั้งในบ้าน ทั้งในที่ทำงาน เพราะทนไม่ได้ที่คนอื่นเห็นไม่ตรงกับตัวเอง โดยเฉพาะความเห็นทางการเมือง หรือเรื่องสีเสือ แม้กระทั่งเชียร์ฟุตบอลคนละทีมก็ยังทะเลาะกันได้ นั่นเป็นเพราะว่าเราไม่รู้จักวาง ยึดติดถือมันไม่ยอมปล่อย  ฟุตบอลแพ้ แต่คนไม่แพ้ เลยตีกัน อย่างนี้ก็เกิดขึ้นบ่อยๆคนคิดเก่งเหมือนกับรถที่เครื่องแรงแล่นเร็ว ่ ่  แต่ถ้ารถคันนั้นไม่มีเบรก เราอยากจะนั่งไหม รถที่แล่นเร็ว ๒๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เบาะดี นิ่มแต่ไม่มีเบรก มีใครอยากนั่งไหม  รถคันนั้นไม่มีใครอยากนั่งแต่ลองกลับมาย้อนดูตัวเอง อาจจะพบว่าใจเราแท้จริงก็ไม่ต่างจากรถคันนั้น คือคิดเก่ง คิดเร็ว คิดได้นาน  แต่ว่าหยุดคิดไม่ได้ เราต้องเติมเบรกให้แก่จิตใจของเรา เติมเบรกให้แก่ชีวิตของเราบ้าง เพื่อแล่นสู่จุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น