นี่คือเหตุผลที่เราต้องพัฒนาจิตใจและหรือ บำเพ็ญจิตตภาวนา จิตตภาวนาก็คือการพัฒนาอารมณ์เพือให้ประสานกลมกลืนหรือเป็นหนึ่งเดียวกับเหตุผล รวมทั้งเป็นพลังให้แก่ปัญญาด้วย เช่น เวลาจะใช้ความคิดหรือปัญญา ใจก็สงบนิ่งเป็นสมาธิช่วยให้สมองแล่น ใช้ปัญญาอย่างได้ผล ไม่ติดขัด เมื่อรู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรควรทำ ไม่ควรทำ ใจก็ขับเคลื่อนให้กายและวาจาทำสิ่งนั้นอย่างที่ปัญญาหรือเหตุผลบอก ไม่ใช่ผลักให้กายและวาจา ทำอีกอย่างหนึ่ง ทั้งๆที่เหตุผลบอกว่าไม่ดี อย่าทำเป็นอันตราย การพัฒนาอารมณ์หรือการทำจิตตภาวนา ยังช่วยทำให้เหตุผลไม่พาเข้ารกเข้าพง เพราะเรา ทุกคนล้วนมีกิเลส และกิเลสนั้นมันก็มีเหตุผลของมัน ถ้าใจเราไม่พัฒนา ไม่รู้เท่าทันกิเลส กิเลสก็สามารถ อ้างเหตุผลพาเราเข้ารกเข้าพงได้ ไม่ใช่ว่าเหตุผลทุกอย่างเป็นของดี บางทีเหตุผลก็ถูกสร้างขึ้นมา เพือล่อหลอกชักจูงให้เราทำสิ่งที่ไม่ดี ตัวอย่างเช่น นักการเมืองหลายคนบอกว่า เขาจำเป็นต้องคอร์รัปชันไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อประเทศชาติ เพราะ ว่าจะได้มีเงินไปหาเสียง เอาไปรณรงค์ทางการเมือง เนื่องจากการหาเสียงจะต้องใช้เงินมาก ถ้าไม่มีเงินก็ไม่ได้รับการเลือกตั้ง แล้วจะไปรับใช้ชาติได้ อย่างไร ดังนั้นจึงจำเป็นต้องคอร์รัปชันเพื่อจะได้ มีเงินหาเสียงรวมทั้งซื้อเสียงด้วย เพือจะได้มาเป็นรัฐบาล จะได้ทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติตามอุดมการณ์ นี้เป็นเหตุผลทีฟังแล้วดูดนักการเมืองไม่น้อยก็เชือเหตุผลหรือคิดแบบนั้นจริงๆ ด้วย นับเป็นเพราะว่าเขาไม่รู้เท่าทันว่า นี้เป็นเหตุผลของกิเลสคนที่มีกิ๊กมีเมียน้อยเขาก็มีเหตุผลของเขา ไม่ใช่เขาไม่มี บางทีก็เป็นเหตุผลที่ดี เช่น เพือช่วยผู้หญิงให้มีที่พึ่ง ลืมตาอ้าปากได้ หรือเพื่อฉันจะได้ผ่อนคลายความเครียด ทำงานหนักมามากก็ต้องให้รางวัลแก่ตัวเองบ้าง แค่นี้จะเป็นไรไป ฯลฯ แต่นั่นล้วนเป็นเหตุผลที่กิเลสปรุงแต่งขึ้นมา ถ้าใจไม่พัฒนา ใจก็จะเอนโอนเอียงไปตามเหตุผลของกิเลส อย่าลืมว่ากิเลสนั้นสามารถสรรหาเหตุผลดีๆที่ทำให้เราหลงเชื่อคล้อยตามมันได้ มีเรืองเล่าว่าชายผู้หนึ่งติดเหล้ามาก แกอยากเลิกเหล้าแต่เลิกไม่ได้เสียที เพราะหลังจากเลิกงาน ต้องเดินกลับบ้านและต้องผ่านร้านเหล้า แกอดใจไม่ได้สกที ต้องเลียวเข้าร้านเหล้าทุกครั้งไป นับวัน ชีวิตแกก็แย่ลง เป็นหนี้ท่วมตัว สุขภาพก็ย่ำแย่ ครอบครัวก็ทะเลาะแบะแว้งไม่เว้นแต่ละวัน วันหนึ่งแกตั้งใจว่าวันนี้ฉันจะเลิกเหล้าให้ได้ ถ้าเลิกไม่ได้ก็ขอเป็นหมาดีกว่า ตั้งใจมั่นขนาดนี้ วันนั้นพอเลิก งานแกก็เดินกลับบ้าน เดินได้สักพักใจก็รู้สึกตุ๊มๆต่อมๆ เพราะรู้ว่าข้างหน้าคือร้านเหล้า แต่แกก็ย้ำกับตัวเองว่าวันนี้ฉันจะต้องเลิกเหล้าให้ได้ พอเดินถึงร้านเหล้าก็รู้สึกเปรี้ยวปากขึ้นมา ความคิดหนึ่งก็แวบขึ้นมาว่า “เอาหน่อยน่าเป๊กหนึงก็ยังดี ขอกินวันนี้เป็นวันสุดท้าย พรุ่งนี้ไม่เอาแน่ เอาหน่อยน่า... ครั้งสุดท้ายแล้ว” แต่แกก็หักห้ามใจไว้ได้ เดินต่อสักพักก็ได้ยินเพื่อนในร้านเหล้าเรียก “เอ้ย...มากินเหล้าสิ” ในใจก็คิดขึ้นมา “เพื่อนอุตส่าห์เรียก...ปฏิเสธเพือน มันน่าเกลียด” เกือบจะเดินเข้าไปแล้ว แต่ว่าหักห้ามใจไว้ได้อีกร้านเหล้ากว้างขนาดสองคูหา ประมาณ ๖ เมตรเท่านัน้ แต่ตอนนั้นเขารู้สึกว่ามันยาวเป็นกิโลทีเดียว เขารู้สึกว่าใช้เวลานานมากกว่าจะเดินผ่านร้านเหล้าไปได้ ต้องต่อสู้กับตัวเองอย่างหนัก เกือบจะเดินเข้าร้านเหล้าไม่รู้กี่ครั้ง แต่ในที่สุดก็เดิน ผ่านร้านเหล้าได้ เขาดีใจมาก ภูมิใจตนเองอย่างยิ่ง เพราะว่าไม่เคยทำสำเร็จอย่างนี้มาก่อน แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาว่า “งั้นเราไปฉลองชัยชนะกันดีกว่า” ว่าแล้วเขาก็เดินกลับไปฉลองชัยชนะที่ร้านเหล้าทันที !
เห็นลูกไม้ของกิเลสไหม กิเลสมันฉลาดมาก สามารถสรรหาเหตุผลให้ชายคนนี้วกกลับไปกิน เหล้าจนได้ ไปด้วยเหตุผลที่สวยงามว่า “ไปฉลองชัยชนะกันดีกว่า” ถ้าใจเราไม่เท่าทันเหตุผลหรือ อุบายของกิเลส เราก็ไม่มีทางหลุดพ้นจากอำนาจของมันได้ ชีวิตก็มีแต่จะตกต่ำลงเรื่อยๆ แต่ถ้าเรามีสติรู้เท่าทันเหตุผลของกิเลส เราก็จะไม่มีทางคล้อยตามหรือหลงเชื่อกิเลสง่ายๆ หรือถ้าหากว่า ชายคนนี้มีจิตที่ตั้งมั่นคือมีสมาธิ ขณะที่เดินผ่านร้านเหล้าก็กำหนดลมหายใจเข้า-ออก เข้า-ออก ไม่สนใจเสียงเรียกของเพื่อนในร้านเหล้า เขาก็สามารถเอาชนะกิเลสได้ การที่คนเราจะมีสติหรือสมาธิพอฟัดพอเหวียงกับกิเลส ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส ไม่ว่ามันจะเสกสรรปั้นแต่งเหตุผลให้ดูสวยงามเพียงใด ก็ต้องอาศัยการพัฒนาจิตหรือทำจิตตภาวนา ซึ่งก็คือการพัฒนาอารมณ์อกแบบหนึ่ง นั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น