ทั้งหมดนี้พูดรวมๆ คือ เราควรกลับมาทบทวนชีวิตของเราว่าทุกวันนี้ชีวิตเรามีความสมดุลมากน้อยเพียงใด มีสมดุลระหว่างกายกับใจระหว่างชีวิตด้านนอกกับชีวิตด้านในหรือไม่ หัวใจกับสมองสมดุลกันไหมหรือว่าเราหนักไปทางด้านใช้ความคิดหรือเหตุผล แต่ว่าจิตใจหรืออารมณ์กลับอ่อนแอเสื่อมถอย พูดเป็นภาพพจน์ คนปัจจุบันจะมีลักษณะหัวโตสมองใหญ่ แต่ใจเล็กใจแคบ เราพัฒนาแต่เรื่องการใช้ความคิดจนคิดเก่ง แต่กลับหยุดคิดไม่ได้ สุดท้ายความคิดกลายมาเป็นนายเรา บงการเรา และเล่นงานเราจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ กระทั่งบางทีถึงกับคลุ้มคลั่งวิกลจริตเป็นบ้าก็มี นอกจากนั้นก็ต้องพยายามจัดให้ชีวิตมีความสมดุลระหว่างประโยชน์ตนกับประโยชน์ท่าน ควรมองจากมุมของคนอื่นหรือนึกถึงประโยชน์ของผูู้อื่นบ้าง แต่ก็ควรหันกลับมาดูตัวเองเวลาเกิดปัญหาขึ้นมาด้วย การลืมมองตนนอกจากจะทำให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์กับผู้อื่นแล้ว ยังทำให้เกิดปัญหากับตัวเราเองด้วย เป็นเพราะเราลืมดูใจของตัวเอง ใช่ไหม เราจึงไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าที่เราทุกข์ทุกวันนี้เป็นเพราะใจของตัวเอง มากกว่าเป็นเพราะคนอื่นเวลาเราโกรธหรือโมโหเมื่อได้ยืนคำตำหนิของคนอื่นเรามักโทษว่าเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้เราทุกข์ แต่เราหาได้ตระหนักว่าที่เราทุกข์ก็เพราะใจของเรา เปิดช่องให้คำตำหนินั้นเข้ามาทิ่มแทงเราต่างหาก ถ้าใจเราไม่ยึดติดถือมั่นกับคำพูดเหล่านั้น เราจะไม่ทุกข์เลย แต่เป็นเพราะเราเอาแต่ครุ่นคิดถึงคำพูดของเขา เก็บมาเป็นอารมณ์ไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวางเราก็เลยโกรธแค้น ไม่ต่างกับคนที่มีเศษแก้วอยู่ในมือ ก็รู้ทั้งรู้ว่าเศษแก้วมันคม แต่แทนที่จะพลิกมือเพื่อให้เศษแก้วตกลงพื้น กลับกำเอาไว้เท่านั้นไม่พอ ยังบีบแรงๆ กำแล้วก็บีบ กำแล้วก็บีบ ผลก็คือ เศษแก้วบาดมือจนเป็นแผล แล้วจะไปโทษใครโทษแก้วว่าบาดมือฉัน ทำให้ฉันปวดหรือทำไมเราไม่ถามตัวเองว่า ฉันกำเศษแก้วทำไม แถมยังบีบอีก คำตำหนิ คำต่อว่าก็เหมือนกับเศษแก้ว ถ้าเราไม่ไปทำอะไรมัน มันก็ไม่ทำอะไรเรา แต่เพราะเราไปกำแล้วบีบมันไม่หยุด มันจึงทิ่มแทงจิตใจ นี่เป็นตัวอย่างของสมดุลในชีวิตที่อยากให้เราให้พิจารณาและทำให้เกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เราก้าวเดินบนทางสายกลางได้อย่างมั่นคงยั่งยืนแน่วแน่ถึงจุดหมายได้
สิ่งหนึงที่อยากย้ำคือ ความสมดุลหรือความพอดีนั้น เป็นคนละอย่างกับทางสายกลาง คนไทยมักจะแยกไม่ค่อยออก คือไปเข้าใจว่าทางสายกลางกับความสมดุลหรือความพอดีนั้นเป็นอันเดียวกัน เช่น ถ้าใครขยันมากไป ก็มองว่าเขาไม่ได้อยู่บนทางสายกลาง ทางสายกลางนั้น พูดง่ายๆคือทางที่อยู่ระหว่างทางสุดโต่งสองทางซึ่งแย่ทั้งคู่ ทางหนึ่งคือกามสุขลลิกานุโยค คือการหมกมุ่นในกามอีกทางคืออัตตกิลมถานุโยค คือการทรมานตนทางหนึ่งเต็มไปด้วยความอยากได้ใคร่มี อยากเสพอยากครอบครอง อยากเข้าหา อีกทางหนึ่งเป็นเรื่องของการปฏิเสธผลักไส เป็นการกระทำที่เจือไปด้วยความเกลียด เกลียดกาม เกลียดร่างกาย เกลียดเนื้อหนัง จึงพยายามทรมานมันเพื่อให้จิตเป็นอิสระจากสิ่งนั้น ทางสายกลางอยู่ระหว่างสองทางที่ผิดทั้งคู่ ส่วนชีวิตสมดุลหรือดุลยภาพที่อาตมาพูดถึงนั้น หมายถึงความพอดีระหว่างสิ่งดีๆ สองสิ่งซึ่งจำเป็นทั้งคู่ เช่น ระหว่างศรัทธากับปัญญา ระหว่างเหตุผลกับอารมณ์ ระหว่างประโยชน์ตนกับประโยชน์ท่าน ทางสายกลางคือ ทางที่ไม่ข้องแวะกับสิ่งไม่ดีที่สุดโต่งสองอย่าง แต่ความสมดุลหมายถึงการเชื่อมประสานสิ่งดีๆสองสิ่งให้มีความพอเหมาะพอดีกัน ในชีวิตเราจะพบเสมอว่า มีสิ่งดีๆสองสิ่งที่ดูเหมือนไปคนละทาง แต่ก็มีประโยชน์และมีความสำคัญทั้งสิ้น เช่น ระเบียบวินัย กับ เสรีภาพ ทั้งสองอย่างดีทั้งนั้นจะเอาอันหนึ่งปฏิเสธอีกอันก็ไม่ได้ สิ่งที่ควรทำก็คือต้องจัดให้มีสมดุลระหว่างระเบียบวินัยกับเสรีภาพมองกว้างอีกหน่อยการพัฒนาประเทศก็เป็นสิ่งที่ดี ขณะเดียวกันการอนุรักษ์ธรรมชาติก็สำคัญ เราจะเลือกอันหนึ่งทิ้งอีกอันไม่ได้ แต่จะต้องคำนึงถึงทั้งสองอย่างโดยจัดให้มีสมดุลหรือความพอดีแค่ไหนถึงเรียกว่าพอดีนั้น เป็นอีกเรื่องที่ต้องพิจารณาในการทำงานก็เช่นกัน ความรับผิดชอบความขยันเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แต่ในเวลาเดียวกันเราก็ต้องรู้จักปล่อยวางด้วย ถ้าทำงานแบบยึดมั่นถือมั่นจนเอาเป็นเอาตายกับมันก็จะทุกข์มาก แถมงานอาจออกมาไม่ดีด้วย ดังนั้นสิ่งที่ควรทำก็คือ ประสานสองสิ่งนั้นให้ได้สมดุล เช่น ปล่อยวางอย่างรับผิดชอบหรือทำเต็มที่แต่ไม่ซีเรียส จะว่าไปแล้วศิลปะของการดำเนินชีวิตและการปฏิบัติธรรม คือ การประสานและประคองสิ่งสองสิ่งที่ดีงามให้ได้สมดุลกัน เช่น ระหว่างการทำงานทางโลกกับการปฏิบัติธรรม ระหว่างปริยัติกับปฏิบัติระหว่างสมาธิกับวิปัสสนา แม้แต่ระหว่างวัตถุกับจิตใจก็เป็นเรื่องที่เราต้องจัดให้ได้สมดุลเราปฏิเสธวัตถุไม่ได้ แต่ทำอย่างไรเราถึงจะไม่ให้มันมาบั่นทอนจิตใจ ถ้าหากว่าเรามีจิตใจที่พัฒนาแล้ว เช่น มีปัญญามีเมตตากรุณา เราก็สามารถใช้วัตถุไปในทางที่เป็นประโยชน์ได้ อันนี้เป็นเรื่องศิลปะของการดำเนินชีวิต
อย่างไรก็ตามอาตมาอยากจะย้ำว่า แม้ในชีวิตของเรามีสมดุลหลายอย่างหลายคู่ที่ต้องจัดการหรือทำให้เกิดขึ้น แต่ก็อย่าไปคิดว่ามันเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อน หลายคนอาจจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องลำบากในการจัดเวลาให้ได้ดีในทุกเรื่อง ที่จริงสมดุลแต่ละคู่นั้นไม่ได้แยกขาดจากกันทีเดียวนัก สามารถทำไปด้วยกันได้ เช่น สมดุลระหว่างกายกับใจ งานภายนอกกับงานภายใน เราทำไปด้วยกันได้ เวลากินข้าวถ้าเรากินอย่างมีสติ ก็เป็นการเติมทั้งอาหารกายและอาหารใจไปพร้อมๆกันเวลาอาบน้ำถ้าเราอาบอย่างมีสติก็เท่ากับชำระทั้งกาย ชำระทั้งใจ ในทำนองเดียวกัน เวลาเราทำงานเราก็ทำอย่างมีสติทำด้วยความขยันขันแข็ง แต่ก็รู้จักปล่อยวางและมีสมาธิไปพร้อมกัน ถ้าทำอย่างนั้นด้วยท่าทีอย่างนั้นก็เท่ากับว่าเราได้ทำงานทางโลกควบคู่กับการปฏิบัติธรรม นอกจากนั้นหากเราทำอาชีพการงานด้วยใจที่มีเมตตากรุณาต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเช่น ปรารถนาดีต่อผู้มารับบริการหรือลูกค้าก็เท่ากับว่าเราได้ทำทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ดังนั้นการสร้างสมดุลในชีวิตจึงไม่ใช่เป็นเรื่องของการแบ่งเวลาให้ถูกต้องเท่านั้น ที่สำคัญไม่น้อยก็คือ การวางใจให้ถูกต้องจะช่วยให้ทำหนึ่งได้ถึงสอง นี้ เป็นศิลปะอีกอย่างหนึ่งของการดำเนินชีวิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น