วิธีที่ดีที่สุดที่จะรู้สึกดีขึ้นทันทีกับคนที่คุณเกลียด คือ มองเขาเป็นเครื่องฝึกจิต เห็นใครเป็นเครื่องฝึกจิตได้ คุณจะพบว่าเขาช่วยให้ชีวิตคุณก้าวหน้ากว่าคนทั่วไปมาก ความรู้สึกที่มีต่อใครสักคนไม่ได้อยู่ที่ความเป็นเขาถ่ายเดียว แต่ขึ้นอยู่กับมุมมองของคุณเองด้วย มองอย่างคาดหวังก็ให้ความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์แบบรอความหวังหรือผิดหวังสมหวัง ทั้งที่เขาอาจไม่เคยอยากรับฝากความหวังให้กับคุณเลย มองอย่างเป็นเพื่อนร่วมโลกก็ให้ความรู้สึกพึ่งพาซึ่งกันและกันแบบคนที่ต้องอำศัยโลกใบเดียวกัน คนหนึ่งทำไว้กับโลกอยำงไร อีกคนก็ได้รับผลกระทบจากความเป็นโลกอย่างนั้น มองอย่างเป็นศัตรูคู่แข่งก็ให้ความรู้สึกว่าต้องเอาชนะคะคานกันทำลายกันยอมกันไม่ได้ ถอยแม้แต่ก้ำวเดียวไม่ได ้ หรือกระทั่งเป็นสุขกับการอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ แต่ถ้ามองอย่างเป็นเครื่องฝึกจิตความรู้สึกทั้งหมดจะพลิกกลับ เพราะธรรมดาคนเราจะไม่คิดฝึกจิต ฉะนั้นเมื่อใครบางคนกลายเป็นที่ตั้งของการฝึกหัด เมื่อพบหน้าเขาพร้อมกับความตั้งใจนั้นก็จะช่วยให้มองย้อนเข้ามาที่ตัว รู้สึกเข้ามาที่ใจ รู้จักเทียบวัดเห็นจิตของตัวเองดีขึ้นหรือแย่ลง แทนที่จะเขม้นมองแต่ความเป็นเขาที่คุณไม่ชอบท่าเดียว เมื่อตั้งใจฝึกคุณเลือกฝึกได้สารพัดไม่ว่ำจะเป็นการฝึกควบคุมตนเองในสถานการณ์อึดอัดฝึกความฉลาดเลือกคำพูดผ่าทางตันหาทางออกที่ดีที่สุดให้ทั้งฝ่ำยคุณและฝ่ำยเขา และที่สุดอันเป็นที่สุด คือ ฝึกสมาธิแบบแผ่เมตตา! การฝึกแผ่เมตตาเป็นหนึ่งในวธิทีช่วยให้เข้าถึงสมาธิชั้นเลิศได้เร็วโดยไม่จำเป็นต้องสั่งสมประสบการณ์กันนานๆ ตั้งต้นฝึกแผ่เมตตา ท่านให้ใช้ความผูกใจเกลียดนี่เองเป็นตัวตั้ง โดยพิจารณาความเกลียดเหมือนโรคภัยไข้เจ็บ เวลาเกลียดใครไฟโทสะจะบีบให้คุณนึกถึงแต่ความชอบธรรมให้เกลียด แต่ไม่เคยนึกเลยว่าจิตกำลังเป็นโรค จิตกำลังถูกย่างสด พอมีคนชี้ให้นึกคณุจะนึกออก และรู้สึกอย่างนั้นจริงๆว่าจิตกำลังป่วยกับทั้งนึกออกต่อด้วยว่า ถ้าหายป่วยได้ก็ดีใจได้ว่าเราหายแล้วหรือทุเลาป่วยแล้ว จะได้กลับมามีกำลังวังชา เคลื่อนไหวคล่องตัว ไม่ต้องนั่งนอนตะครั่นตะครอระบมเนื้อตัวอีกต่อไป ความรู้สึกแบบคนหายป่วยย่อมให้ความโล่งอกและเบำใจฉันใดความรู้สึกแบบคนหายเกลียดย่อมให้ความโล่งอกและเบาใจฉันนั้น ความโล่งอกและเบาใจจากภเูขาความเกลียดอันมืดทึบย่อมมีความสว่างพิเศษอยู่ในตัว ปรุงแต่งจิตให้ปลอดโปร่งเบิกบานแผ่ผ่ายเป็นกศุลอย่างใหญ่่จึงง่ายที่จะพัฒนาเป็นจิตใหญ่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ
สรุปการฝึกแผ่เมตตาเป็นขั้นๆได้ดังนี้
๑. ระลึกว่าไม่มีใครเป็นเป้าฝึกจิตได้เหมาะเท่าคนที่คุณเกลียดและเพียงนึกได้เท่านี้ คนที่คุณเกลียดจะไม่น่ารังเกียจอีกต่อไป
๒. เมื่อรู้สึกเกลียดให้ระลึกถึงอาการผิดปกติทางกายหรือทางใจ เช่น หน้ำมืดตามัวอกทึบใจสั่น คิดร้อนฯลฯแล้วพิจารณาว่านี่เรากำลังป่วยทางจิตหรือเป็นโรคจิตแล้ว
๓. ที่จะหายป่วยไม่ใช่ฆ่าคนที่เกลียด แต่ต้องฆ่าความเกลียดในตน และวิธีฆ่าความเกลียดที่ง่ายอย่างเหลือเชื่อ ก็คือ คิดถึงความโล่งใจตอนหายป่วยไม่ต้องหน้ำมืดไม่ต้องตามัว ไม่ต้องอกทึบ ไม่ต้องใจสั่นไม่ต้องคิดร้อนเหมือนอย่างที่เป็นอยู่อีกแล้ว
๔. ความปลอดโปร่งอันเกิดจากการหายเกลียดเป็นสภาพของจิตที่มีความพิเศษ มีพลังในตัว เพียงแค่จดจ่อรู้อยู่กับรสสุขสว่างโล่งจากอารมณ์เกลียดนนั้นพอ จิตก็เข้าสู่ค่วามเป็นสมธิได้ ลิ้มรสความสุขได้ด้วยตนเองว่าเมตตาสมาธิเป็นอย่างไร ถ้าคุณอาศัยใครเป็นเครื่องฝึกสมาธิสำเร็จ รู้จักรสสุขโอฬาร คณุจะนึกขอบคุณบุคคลอันเป็นเครื่องฝึกนั้น ภาพมืดๆของคนที่คุณเกลียด ย่อม สว่างเรืองรองขึ้นในบัดดล ให้ความรู้สึกแสนดีเกินคาดด้วย กระแสเมตตาถ้าเข้มข้นจริง จะเป็นความสว่างที่ไปถึงคนอื่นได้สัมผัสจิตบุคคลอันเป็นเป้าฝึกได้้เห็นง่ายๆตอนพบกัน ถ้าจิตของคุณถูกกระตุ้นให้เกิดเมตตาสมาธิขึ้นมา คุณจะรู้สึกว่าอารมณ์ของเขาพลอยสว่าง มีความนุ่มนวลอ่อนโยนตมไปด้วย หากคุณยังรักษาร่องอารมณ์เมตตาอันแสนสุขนั้นไว้ได้ขณะพูดจา หรือสบตากันต่อก็มีสิทธิ์เปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตรได้ทีเดียว!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น