วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2558

ยิ่งให้ยิ่งได้

          เดี๋ยวนี้ยังมีความคิดอีกแบบหนึ่งซึ่งคล้ายๆกับที่พูดข้างต้น คือ ความคิดที่ว่า อย่าแผ่เมตตาหรืออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่ใครมาก เพราะจะทำให้บุญกุศลของเราเหลือน้อยลง อาตมาไม่รู้ ว่าชาวพุทธเราเอาความคิดแบบนี้มาจากไหน มีหลายคนเชื่อว่าเป็นคำสอนของพุทธศาสนา แต่ ที่จริงไม่ใช่เลย บุญกิริยาวัตถุหรือการทำบุญข้อหนึ่งใน ๑๐ ประการ ก็คือ ปัตติทานมัย ได้แก่ บุญที่เกิดจากการอุทิศส่วนกุศลให้ นั่นแสดงว่ายิ่งเรา อุทิศส่วนบุญให้ใคร เราก็ยิ่งได้บุญ พระพุทธองค์ทรงสอนว่า ผู้ให้ความสุขย่อมได้รับความสุข แต่เดี๋ยวนี้คนเราตระหนี่ถึงขนาดว่า แม้แต่บุญกุศลก็ยังไม่ยอมให้ใครเลย ตระหนี่ขนาดนี้แล้วบุญกุศล จะเจริญงอกงามได้อย่างไร เดี๋ยวนี้เราไปเข้าใจว่าบุญเหมือนเงินในกระเป๋า ยิ่งให้ก็ยิ่งหมด ที่จริง ตรงกันข้าม ยิ่งให้ยิ่งได้ยิ่งอุทิศส่วนบุญก็ยิ่งรวยบุญ อย่าว่าแต่บุญที่ยิ่งให้ยิ่งได้ แม้กระทั่งเงินใน กระเป๋าหรือวัตถุสิ่งของ ใช่ว่ายิ่งให้ก็ยิ่งหมด มันอาจจะเพิ่มขึ้นก็ได้นะ  มีนักทำสารคดีเกี่ยวกับชีวิตเด็กคือ คุณนิรมล   เมธีสุวกุล เล่าว่าวันหนึ่งระหว่างที่ถ่ายทำสารคดีในชนบท   มีคณป้าคนหนึ่งถือปลาพวงใหญ่มา แล้วก็ถามคนในกองถ่ายซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนุ่มๆสาวๆ ว่า “รู้ไหมว่าปลาพวงนี้ทำอย่างไรถึงจะกิน ได้นาน” ทุกคนในกองถ่ายก็คิดหาคำตอบกันใหญ่  บ้างก็ว่าเอาไปตากแดด บ้างก็ว่าเอาไปหมัก เอาไปทำส้ม เอาไปใส่ตู้เย็น แสดงความเห็นกันเป็นการใหญ่ คุณป้าบอกว่าผิดหมดเลย คุณป้าบอกว่า “ต้องเอาไปแบ่งเพื่อนบ้านให้ทั่วถึง”  ฟังดูแปลกไหมถ้าเอาไปแบ่งเพื่อนบ้านให้ทั่วถึง  เราถึงจะกินได้นาน
              คนสมัยนี้เข้าใจว่าถ้าเราเอาปลาไปแบ่งให้คนอื่น  เราก็ได้กินน้อยลงสิ แทนที่จะได้กิน ๓ วันก็กินได้แค่มื้อเดียว แต่ความจริงแล้ว ไม่ใช่เลย เพราะเมื่อเราแบ่งให้คนอื่น เมื่อเขาได้ปลามา เขาก็จะแบ่งให้เรา ทำให้มีกินได้ตลอด อันนี้คือกฎแห่งกรรมนั่นเอง  เรียกอีกอย่างว่า action เท่ากับ reaction เมื่อเราให้เขา เวลาเขามีหรือเมื่อเราเดือดร้อน เขาก็ให้เรา เห็นไหมว่าแม้แต่การให้วัตถุก็ไม่ได้แปลว่ายิ่งให้ยิ่งหมด ไม่ใช่ยิ่งให้ก็ยิ่งได้ นับประสาอะไรกับบุญกุศล ยิ่งอุทศส่วนบุญให้ใคร เรากลับไดุ้บญมากขึ้น ไม่ใช่เหลือบุญน้อยลง  คนสมัยก่อนเข้าใจเรื่องนี้ดี เขาจึงมีน้ำจิต น้ำใจ มีเมตตา มีความเอื้อเฟื้อ เพราะเขารู้ว่าการให้ สุดท้ายก็คือการได้นั่นเอง แม้ไม่อยากจะได้ก็ตาม “ผู้ให้ความสุขย่อมได้รับความสุข” “ผู้ให้ของประณีตย่อมได้ของประณีต” อันนี้คือความจริงที่พระพุทธองค์ตรัสรับรอง เป็นความหมายอีกแง่หนึ่งของกฎแห่งกรรมที่เราควรจะตระหนัก ดังนั้น การบำเพ็ญประโยชน์ทานจึงเป็นสิงที่เราไม่ควรละเลยเหตุผลสำคัญไม่ใช่เพราะว่าถ้าเราให้อะไรแก่ใคร เราจะได้สิ่งนั้นกลับคืน แท้จริงแล้วอานิสงส์ที่สำคัญกว่า นั้นก็คือ ช่วยลดละความเห็นแก่ตัว ถ้าเรายังคิดถึงตัวเองอยู่ ย่อมยากที่จะพ้นทุกข์หรือมีชีวิตที่เจริญก้าวหน้า ยิ่งคิดถึงตัวเองมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความทุกข์มากเท่านั้น แต่ยิ่งนึกถึงคนอื่นมาก ความทุกข์ของเราจะเป็นเรื่องเล็กลง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น