วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ศรัทธากับปัญญา

          หลักธรรมข้อหนึ่งที่ชาวพุทธคุ้นเคยก็คือ อินทรีย์หรือธรรมประการที่เป็นใหญ่ใน 
การทำกิจต่างๆถ้าเราพิจารณาดูก็จะพบว่าในประการนี้  มีธรรมะอยู่สองคู่  ซึ่งต้องมีความสมดุล หรือพอดีจึงจะเกิดผลที่มุ่งหมายสองคู่นั้นได้แก่ ศรัทธากับปัญญาและวิริยะกับสมาธิ ถ้ามีแต่ศรัทธาแต่ไม่มีปัญญา ก็อาจทำให้เรางมงายได้้เหมือนกับรถที่แล่นเร็วแต่ไม่มีพวงมาลัยก็อาจจะวิ่งลงคูได้ เราพบคนประเภทนี้เยอะคือมีศรัทธาแต่ขาดปัญญาก็อาจทำให้ดำเนินชีวิตอย่างผิดที่ผิดทาง เพราะหลงเชื่อคนที่สอนผิดไม่รู้จริง  ส่วนคนที่มีปัญญาแต่ขาดศรัทธาก็อาจจะเป็นคนอวดด ไม่ฟังใครหรือได้แต่คิด  และตั้งคำถาม   มัวแต่สงสัย แต่ไม่ยอมลงมือปฏิบัติเสียทีเพราะไม่เชื่อใครเลยสักคน    แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าที่จริงการรู้จักตั้งคำถามเป็นสิ่งที่ดีถ้าใช้ความคิดอย่างมีเหตุผล แต่เหตุผลนั้นไม่สามารถให้คำตอบได้ในทุกเรื่อง จนกว่าจะลงมือปฏิบัติและเห็นผลด้วยตัวเองแต่คนเราจะลงมือปฏิบัติได้แม้จะยังเห็นผลไม่ชัดก็ต่อเมื่อมีศรัทธาในคำสอนของครูบาอาจาร์หรือผู้รู้คือเชื่อว่าท่านสอนไม่ผิดทางก็ทำให้กล้าลงมือปฏิบัติแต่ถ้าขาดศรทัธาแล้ว แม้จะมีปัญญาชนิดที่ทำให้เห็นว่าการปฏิบัติธรรมเช่นการเจริญสตินั้นมีประโยชน์เป็นเรื่องดีแต่พอปฏิบัติไปได้สักพัก มีปัญหาขึ้นมาเกิดความท้อแท้เลิกปฏิบัติไปเลย  หรือไม่ก็ทำแบบเฉื่อยเนือย เหมือนรถยนต์ที่เครื่องไม่ค่อยมีกำลังหรือไม่ค่อยมีน้ำมันจึงไปได้ไม่ไกล ในทางตรงข้ามถ้าเขามีศรัทธาในครูบาอาจารยแล้ว เวลาท่านกระตุ้นหรือแนะนำเขาก็จะเกิดกำลังใจที่จะเพียรพยายามต่อไปไม่ละทิ้งกลางคันแม้จะมองไม่เห็นผลแต่ก็มั่นใจว่าท่านสอนไม่ผิดแน่  จึงไม่เลิกปฏิบัติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น