หลักธรรมข้อหนึ่งที่ชาวพุทธคุ้นเคย ก็คือ
อินทรีย์ ๕ หรือธรรม ๕ ประการที่เป็นใหญ่ใน
การทำกิจต่างๆ ถ้าเราพิจารณาดูก็จะพบว่าใน
๕ ประการนี้ มีธรรมะอยู่สองคู่ ซึ่งต้องมีความสมดุล หรือพอดีจึงจะเกิดผลที่มุ่งหมาย สองคู่นั้น ได้แก่
ศรัทธากับปัญญาและวิริยะกับสมาธิ ถ้ามีแต่ศรัทธาแต่ไม่มีปัญญา ก็อาจทำให้เรางมงายได้้เหมือนกับรถที่แล่นเร็วแต่ไม่มีพวงมาลัยก็อาจจะวิ่งลงคูได้
เราพบคนประเภทนี้เยอะคือมีศรัทธาแต่ขาดปัญญาก็อาจทำให้ดำเนินชีวิตอย่างผิดที่ผิดทาง
เพราะหลงเชื่อคนที่สอนผิด ไม่รู้จริง ส่วนคนที่มีปัญญาแต่ขาดศรัทธา ก็อาจจะเป็นคนอวดดี
ไม่ฟังใคร หรือได้แต่คิด และตั้งคำถาม มัวแต่สงสัย
แต่ไม่ยอมลงมือปฏิบัติเสียที เพราะไม่เชื่อใครเลยสักคน แม้กระทั่งพระพุทธเจ้า ที่จริงการรู้จักตั้งคำถามเป็นสิ่งที่ดีถ้าใช้ความคิดอย่างมีเหตุผล
แต่เหตุผลนั้นไม่สามารถให้คำตอบได้ในทุกเรื่อง
จนกว่าจะลงมือปฏิบัติและเห็นผลด้วยตัวเอง แต่คนเราจะลงมือปฏิบัติได้แม้จะยังเห็นผลไม่ชัดก็ต่อเมื่อมีศรัทธาในคำสอนของครูบาอาจาร์หรือผู้รู้คือเชื่อว่าท่านสอนไม่ผิดทาง ก็ทำให้กล้าลงมือปฏิบัติแต่ถ้าขาดศรทัธาแล้ว
แม้จะมีปัญญาชนิดที่ทำให้เห็นว่าการปฏิบัติธรรม เช่น การเจริญสตินั้นมีประโยชน์เป็นเรื่องดีแต่พอปฏิบัติไปได้สักพัก มีปัญหาขึ้นมาเกิดความท้อแท้เลิกปฏิบัติไปเลย หรือไม่ก็ทำแบบเฉื่อยเนือย
เหมือนรถยนต์ที่เครื่องไม่ค่อยมีกำลังหรือไม่ค่อยมีน้ำมันจึงไปได้ไม่ไกล
ในทางตรงข้ามถ้าเขามีศรัทธาในครูบาอาจารยแล้ว เวลาท่านกระตุ้นหรือแนะนำเขาก็จะเกิดกำลังใจที่จะเพียรพยายามต่อไป ไม่ละทิ้งกลางคัน แม้จะมองไม่เห็นผล แต่ก็มั่นใจว่าท่านสอนไม่ผิดแน่ จึงไม่เลิกปฏิบัติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น