ทุกท่านย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าในการเดินนั้น เราต้องอาศัยขาทั้งสองข้าง
แต่เท่านั้นไม่พอ เราต้องรู้จักทรงตัวให้สมดุลบนขาทั้งสองข้าง จึงจะสามารถ
เดินได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่อง ถ้าเรามีขาเพียงข้างเดียวก็คงเดินได้ยาก
แต่แม้มีขาทั้งสองข้างแล้วก็ยังต้องเลี้ยงตัวให้พอดีจะเดินช้าหรือเดินเร็วก็แล้ว
แต่การทรงตัวให้สมดุลบนขาทั้งสองข้างเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเดินบนเส้นทาง
ยาวไกล ฉันใดก็ฉันนั้น ในการดำเนินชีวิตบนทางสายกลาง ความสมดุลเป็นสิ่งจำเป็นมาก นั่นคือ สมดุลระหว่างสิ่งสองสิ่งที่ล้วนมีค่ามีความสำคัญ เช่น ความสมดุลระหว่าง
ปริยัติกบัปฏิบัติ ถ้าเรามีความรู้ในทางปริยัติแต่ไม่มีการปฏิบัติ ก็ยากที่จะ ดำเนินชีวิต
บนทางสายกลางได้อย่างยั่งยืนจนถึง เป้าหมาย
ในทำนองเดียวกันถ้าเราเอาแต่ปฏิบัติแต่ไม่มีความรู้ด้านปริยัติเลย ก็ไมต่างกับ
การเดินด้วยขาข้างเดียว ย่อมยากจะถึงเป้าหมายได้เพราะต้องเดินกะโผลกกะเผลก
นักปฏิบัติจึงต้องมีความรู้ด้านปริยัติด้วย เช่น รู้ว่าอริยสัจ ๔ คืออะไร จะต้องปฏิบัติหรือเกี่ยวข้อง
กับอริยสัจแต่ละข้ออย่างไร เป็นต้น แต่ถึงแม้จะมีความรู้ด้านปริยัติเป็นพื้นฐานแล้ว
ก็ใช่ว่าจะพอแค่นั้น ยังมีสิ่งอื่นที่ต้องคำนึง เพื่อจัดให้มีความสมดุล เช่น ในการปฏิบัติธรรม
เราก็ต้องมีสมดุลระหว่างสมถะกับวิปัสสนา คือ
ถ้าจะเจริญวิปัสสนาก็ต้องมีสัมถะเป็นพื้นเืพื่อให้จิตมีสมาธิสำหรับพิจารณาให้เกิดปัญญา
หากเจริญวิปัสสนาโดยทิ้งสมถะ ก็ยากที่สำเร็่่่จ แต่ถ้าเอาแต่เจริญสมถะโดยไม่สนใจวิปัสสนา
ก็ไม่เกิดปัญญาจนเข้าถึงสัจธรรมได้ เราตอ้งมีทั้งสมถะและวิปัสสนาอย่างได้ดุลกัน
การปฏิบัติธรรมจึงจะได้ผลนำไปสู่การพ้นทุกข์
ถ้าเราสังเกตดูพระพุทธองค์ทรงเน้นเรื่องความพอดีหรือความสมดลุมาก
อันนี่เป็นคนละส่วนกับเรื่องทางสายกลาง ทางสายกลางนั้นเราต้อง ดำเนินอยู่แล้ว
แต่จะดำเนินอย่างไรให้ถึงเป้าหมาย ก็ต้องอาศัยความสมดุลระหว่างปริยัติกับปฏิบัติ
สมดุลระหว่างสมาธิกับวิปัสสนา เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น