วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ถามตอบปัญหาธรรมะ

ถาม​  การเจริญสต​ิตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกจนต่อเนื่องเป็นอารมณ์เดียว​ และปฏิบัติจนเกดสมาธินั้น จะรู้สึกอย่างไรว่ามีพลังแก่กล้าที่จะนำให้เห็นความไม่เที่ยงและปล่อยวางได้​เกิดปัญญาได้ 

ตอบ​  จะต้องรู้สึกว่ามีความชัดเจน​เบิกบาน​โปร่งใส ​บางทีคนก็ถามว่า​จะปฏิบัติมากน้อยแค่ไหน​ถึงขั้นไหน​อันนี้ก็ดูยาก​คือ​ มันต้องถึงขั้นพร้อมที่จะเห็นแจ้ง​ และละสิ่งที่เป็นอุปสรรคได​้มันก็เท่านี้แหละ​  มันไม่มีเครื่องบ่งบอก​ การนั่งสมาธิเมื่อเปรียบกับการเดินทาง​เราดูหลักกิโลบนถนนก็รู้ว่า​ไปได้กี่กิโลแล้ว​แต่การปฏิบัติมันไม่เป็นอย่างนั้น  ​เวลานั่งสมาธิ​เราต้องเป็นผู้สังเกตดูความรู้สึกของตนเอง​ ยังมีนิวรณ์ครอบงำไหม​ ยังมีกิเลสโผล่ขึ้นมาไหม​ เราเกิดความรู้สึกยินดีในการละไหม​ เราสนใจที่จะปล่อยวางจริงไหม​ หรือเราทำเพราะอะไร​ เราท เพราะหวังจะได้รับการสรรเสริญหรือไม่​  ทำเพื่อความรู้วิเศษหรือเปล่า ​หรือ​นั่งสมาธิเพื่อให้เห็นหวยเห็นเบอร์หรือเปล่า  ​แบบนี้มีอยู่ในเมืองไทย​คือ​ นั่งสมาธิโดยไม่มีเป้าหมายอย่างอื่น​นอกจากขอแค่เห็นหวยสักที​ เราปฏิบัติเพื่อให้จิตใจเกิดความปลอดโปร่งสบาย มีความสุขคลี่คลายและเพื่อมีความชัดเจนเพียงพอที่จะเห็นว่า การยึดไว้ซึ่งความรู้สึกต่อตัวตนหรือการยึดไว้ต่ออาการของโลกภายนอกนั้น ทำให้เราทุกข์เราก็อยากจะปล่อยเสียที​อยากจะละเสียที 

ถาม​ ขอเรียนถามเรื่องการแผ่เมตตาให้กับบุคคลที่ไม่ชอบเรา​ (ไม่มีเหตุผลในการไม่ชอบ​คาดว่าเป็นกรรมแต่ชาติปางก่อน)​โดยหวังว่า​สักวันหนึ่งเขาคงจะดีขึ้น​ แต่มีคนแนะนำว่า​ควรจะหยุดแผ่เมตตาให้คนๆ​นี้  เพราะไม่มีประโยชน์​เราควรจะทำอย่างไรดี​  ขณะที่ถามนี้ก็ยังคงแผ่เมตตาให้เขาอยู่ 

ตอบ  ​การแผ่เมตตา​ ยังไงๆเราก็ควรแผ่เมตตา​เขาจะชอบเราหรือไม่ชอบเรานั้น ถือเป็นคนละเรื่องกัน​ เราแผ่เมตตาเพื่อฝึกตนเอง​ เราแผ่เมตตาเพราะเป็นสิ่งดีงาม เราแผ่เมตตาเพราะเป็นโอกาสที่จะเพิ่มคุณธรรมของเราเอง​ เขาจะรับหรือไม่รับ​ก็เรื่องของเขา​ ไม่ใช่ว่าเราต้องไปยัดเยียดให้เขา​ ส่วนที่ว่าเขาไม่ชอบเราโดยไม่มีเหตุผล​เราควรจะดูให้ดี​เราว่าเขาไม่มีเหตุผล​ อาจจะเพราะว่าเราไม่รู้ ​โดยปกติคนจะทำอะไรมักมีเหตุผลที่จะท ำ​แต่จะเป็นเหตุผลที่สมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ​์ หรือเป็นเหตุจากความไม่เข้าใจกันที่เกิดขึ้น​เราก็ไม่รู้​ แต่เราควรตั้งข้อสงสัยไว​้ อย่างไรก็ตาม​การแผ่เมตตานั้น ไม่เสียอะไร​แต่การไม่แผ่เมตตานี่ถือว่า​เสีย​ คือ ​พลาดโอกาสที่จะทำความด​ีทั้งๆ​ที่เราไม่ควรจะพลาดโอกาสนั้น​ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า​การแผ่เมตตาเป็นส่วนหนึ่งของบุญ​คือ​ เราทำจิตใจเป็นบุญ ​เราได้แผ่เมตตา​เราทำคุณงามความดีให้เกิดขึ้น​พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า​เรา ไม่ควรจะกลัวบุญ​คำว่า​ บุญ​ ตรงกับคำศัพท์ในภาษาบาลีว่า ​‘ปุญญะ’​ ซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งของความสุข วิธีทำให้จิตใจเป็นบุญดูได้จากบุญกิริยาวัตถ​ุ๑๐  ​คือ ​การให้ทาน​การรักษาศีล​ การภาวนา​ความอ่อนน้อม​การช่วยเหลือผู้อื่น​ การเฉลี่ยส่วนความดีให้ผู้อื่น​ การอนุโมทนาในการทำดีของ​การฟังธรรม​ การได้สอนได้แนะนำคนอื่นก็ล้วนเป็นบุญ​  แต่อาตมาคิดว่า​ข้อสุดท้าย​คือ​ การทำสัมมาทิฏฐิให้เกิดขึ้น​น่าจะเป็นบุญสูงสุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น