ถาม การเจริญสติตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกจนต่อเนื่องเป็นอารมณ์เดียว และปฏิบัติจนเกดสมาธินั้น จะรู้สึกอย่างไรว่ามีพลังแก่กล้าที่จะนำให้เห็นความไม่เที่ยงและปล่อยวางได้เกิดปัญญาได้
ตอบ จะต้องรู้สึกว่ามีความชัดเจนเบิกบานโปร่งใส บางทีคนก็ถามว่าจะปฏิบัติมากน้อยแค่ไหนถึงขั้นไหนอันนี้ก็ดูยากคือ มันต้องถึงขั้นพร้อมที่จะเห็นแจ้ง และละสิ่งที่เป็นอุปสรรคได้มันก็เท่านี้แหละ มันไม่มีเครื่องบ่งบอก การนั่งสมาธิเมื่อเปรียบกับการเดินทางเราดูหลักกิโลบนถนนก็รู้ว่าไปได้กี่กิโลแล้วแต่การปฏิบัติมันไม่เป็นอย่างนั้น เวลานั่งสมาธิเราต้องเป็นผู้สังเกตดูความรู้สึกของตนเอง ยังมีนิวรณ์ครอบงำไหม ยังมีกิเลสโผล่ขึ้นมาไหม เราเกิดความรู้สึกยินดีในการละไหม เราสนใจที่จะปล่อยวางจริงไหม หรือเราทำเพราะอะไร เราท เพราะหวังจะได้รับการสรรเสริญหรือไม่ ทำเพื่อความรู้วิเศษหรือเปล่า หรือนั่งสมาธิเพื่อให้เห็นหวยเห็นเบอร์หรือเปล่า แบบนี้มีอยู่ในเมืองไทยคือ นั่งสมาธิโดยไม่มีเป้าหมายอย่างอื่นนอกจากขอแค่เห็นหวยสักที เราปฏิบัติเพื่อให้จิตใจเกิดความปลอดโปร่งสบาย มีความสุขคลี่คลายและเพื่อมีความชัดเจนเพียงพอที่จะเห็นว่า การยึดไว้ซึ่งความรู้สึกต่อตัวตนหรือการยึดไว้ต่ออาการของโลกภายนอกนั้น ทำให้เราทุกข์เราก็อยากจะปล่อยเสียทีอยากจะละเสียที
ถาม ขอเรียนถามเรื่องการแผ่เมตตาให้กับบุคคลที่ไม่ชอบเรา (ไม่มีเหตุผลในการไม่ชอบคาดว่าเป็นกรรมแต่ชาติปางก่อน)โดยหวังว่าสักวันหนึ่งเขาคงจะดีขึ้น แต่มีคนแนะนำว่าควรจะหยุดแผ่เมตตาให้คนๆนี้ เพราะไม่มีประโยชน์เราควรจะทำอย่างไรดี ขณะที่ถามนี้ก็ยังคงแผ่เมตตาให้เขาอยู่
ตอบ การแผ่เมตตา ยังไงๆเราก็ควรแผ่เมตตาเขาจะชอบเราหรือไม่ชอบเรานั้น ถือเป็นคนละเรื่องกัน เราแผ่เมตตาเพื่อฝึกตนเอง เราแผ่เมตตาเพราะเป็นสิ่งดีงาม เราแผ่เมตตาเพราะเป็นโอกาสที่จะเพิ่มคุณธรรมของเราเอง เขาจะรับหรือไม่รับก็เรื่องของเขา ไม่ใช่ว่าเราต้องไปยัดเยียดให้เขา ส่วนที่ว่าเขาไม่ชอบเราโดยไม่มีเหตุผลเราควรจะดูให้ดีเราว่าเขาไม่มีเหตุผล อาจจะเพราะว่าเราไม่รู้ โดยปกติคนจะทำอะไรมักมีเหตุผลที่จะท ำแต่จะเป็นเหตุผลที่สมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ หรือเป็นเหตุจากความไม่เข้าใจกันที่เกิดขึ้นเราก็ไม่รู้ แต่เราควรตั้งข้อสงสัยไว้ อย่างไรก็ตามการแผ่เมตตานั้น ไม่เสียอะไรแต่การไม่แผ่เมตตานี่ถือว่าเสีย คือ พลาดโอกาสที่จะทำความดีทั้งๆที่เราไม่ควรจะพลาดโอกาสนั้น พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าการแผ่เมตตาเป็นส่วนหนึ่งของบุญคือ เราทำจิตใจเป็นบุญ เราได้แผ่เมตตาเราทำคุณงามความดีให้เกิดขึ้นพระพุทธเจ้าทรงสอนว่าเรา ไม่ควรจะกลัวบุญคำว่า บุญ ตรงกับคำศัพท์ในภาษาบาลีว่า ‘ปุญญะ’ ซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งของความสุข วิธีทำให้จิตใจเป็นบุญดูได้จากบุญกิริยาวัตถุ๑๐ คือ การให้ทานการรักษาศีล การภาวนาความอ่อนน้อมการช่วยเหลือผู้อื่น การเฉลี่ยส่วนความดีให้ผู้อื่น การอนุโมทนาในการทำดีของการฟังธรรม การได้สอนได้แนะนำคนอื่นก็ล้วนเป็นบุญ แต่อาตมาคิดว่าข้อสุดท้ายคือ การทำสัมมาทิฏฐิให้เกิดขึ้นน่าจะเป็นบุญสูงสุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น