วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ถามตอบปัญหาธรรมะ

ถาม​​  มีตัวอย่างหรือกลวิธีง่ายๆ​อะไร​ ที่เราจะทำให้คนเชื่อเรื่องการกลับมาเกิดใหม่หรือเรื่องกรรม​ เพราะบางคนไม่เชื่อเรื่องการตายแล้วต้องเกิดใหม่​ จะให้พิสูจน์ด้วยการปฏิบัติธรรม​เขาก็มองว่าเป็นการใช้เวลาลงทุนลงแรงมากเกินไป​ 

ตอบ​​  สำหรับคนที่ไม่เชื่อ​มันก็ยากที่จะบอก ​คือ เราไม่ต้องมองไกลจนเกินไป​ อาตมาคิดว่า​ในฐานะที่เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า​คำสอนอื่นๆ​ที่ท่านสอนไว้ มันก็ค่อนข้างมีความน่าเชื่อถือน่าไว้ใจ และที่ท่านได้สอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนั้น ท่านก็คงไม่สอนไว้เพื่อหลอกลวงเรา​หรือด้วยความไม่รู้ของท่าน​ ให้เราสังเกตดูคำสอนอื่นๆ​ที่ท่านสอน​มันมีหลักการที่ดีมาก ​คือ ท่านให้เราพจิารณาดู​เรื่องการที่ตายแล้วต้องไปเกิดอีก เราก็ต้องอาศัยศรัทธาความเชื่อไว้ก่อน  ​เพราะเรื่องนี้เราพิสูจน์​๑๐๐%​ ไม่ได้​ ยกเว้นว่าเรามีประสบการณ์ตรง​ซึ่งบางทีก็เป็นไปได​้ มีฝรั่งคนหนึ่ง​เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย​ Virginia​ ตอนนี้คิดว่าเขาเกษียณแล้ว​เขาศึกษาเรื่องตายแล้วเกิดใหม่มานานเกือบ ​๔๐ ​ปีแล้ว​  โดยสัมภาษณ์คน ที่เขาว่าตายแล้วเกิดใหม่อย่างเข้มงวดกวดขัน ​ พยายามจะให้เป็นวิทยาศาสตร​์สำหรับคนที่น่าสงสัยว่าน่าจะได้ความรู้ว่าจำชาติได้ด้วยวิธีอื่น  ​เขาก็คัดออกๆ​จนเหลือเฉพาะคนที่ไม่มีวิธีอื่นที่จะรับรองว่าเขาตายแล้วเกิดใหม่​โดยเขายังจำชาติเก่าได​้  ซึ่งก็พอจะมีเหตุผลสนับสนุนเรื่องตายแล้วเกิดใหม​่ บางทีเราอาจจะเคยพบคนที่เขาจำชาติก่อนของเขาได้​  ถ้าได้เคยพบคนอย่างนี้ เราก็ควรจะดูว่าเขาน่าเชื่อถือไหม หรือเขาคุยโม้ ถ้าดูแล้วน่าเชื่อถือ​เขาไม่น่าจะหลอกเรา​ก็ถือเป็นข้อมูลส่วนหนึ่ง​ นอกจากนี้​เราก็สังเกตดูว่าการกระทำต่างๆ​ย่อมมีผล​ตามกระบวนการของธรรมชาติ​ เรื่องจิตของเราก็เช่นกัน​ ที่พระพุทธศาสนาบอกว่า​ตายแล้วเกิดใหม่​ก็เพราะเรายังมีเชื้อของความเกิดอยู่ ​คือ เรายังมีความสำคัญมั่นหมาย​ยึดไว้ในความเป็นตัวตน  ​ซึ่งธรรมชาติของกำลังอันนี้​มันจะแสวงหาการเกิดใหม่​ใหเ้ราทดลองว่าเราจ ะสามารถยับยั้งกระแสอย่างนี้ได้ไหม  มันยากมาคิดดูว่า​ แม้จะทำความสงบมาน้อยเพียงใด จิตใจมันก็ยังมีความคิดพันอยู่กับความเป็นตัวเป็นตน ​ เมื่อเราไม่สามารถที่จะตัดมันได้ในชาติน​ี้เวลาเราตาย​กำลังอันนี้มันก็ยังมีอยู่​ไม่ได้หายไปไหน​แล้วมันจะพาให้เกิดใหม่

ถาม  ​​ท่านอาจารย์ใช้วิธีใดในการรับมือกับเวทนา​ความเจ็บปวดขณะนั่งสมาธิ 

ตอบ​​  เรื่องเวทนา​ เราก็อาศัยสติกำาหนดรู้​ รู้ว่าความเจ็บปวดเกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมชาติ​อย่างที่พระพุทธเจ้าสอน​ทุกขเวทนาทางกายก็อย่างหนึ่ง​  แต่ว่าการปล่อยให้จิตใจเกิดความไม่ชอบ​ ไม่พอใจ​ เกิดความรู้สึกท้อแท้ทำไม่ไหว​ นั่นก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เราควรต้องแยกออก​ คือ​ ไม่ปล่อยให้เป็นเวทนาที่ทับถมจิตใจ​ ถ้าเป็นเวทนาทางกาย​เราก็รู้อยู่​เราก็มองอย​ู่พิจารณาอย​ู่โดยสังเกตดูความไม่เที่ยง​ หรือบางทีเราก็ใช้เวทนาทางกายเป็นที่กำหนดเลย ​เพราะว่าบางครั้งเมื่อเกิดทุกขเวทนา​มันจะเกิดความรู้สึกไม่ชอบ​ไม่พอใจ​จะมีความเกลียด​หากเราจะบังคับไม่ให้มี ​มันอาจจะยิ่งสร้างความกระสับกระส่ายขึ้นในจิตใจ​อาจไม่ใช่วิธีที่ด​ีก็ให้เราดูทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น​  ให้เรายอมรับว่ามันเป็นของธรรมชาต​ิ บางทีเราก็เอาลมหายใจเข้าลมหายใจออกไว้ที่จุดที่มีเวทนา​เหมือนกับเราล้อมความเจ็บปวดนั้นด้วยสติและปัญญาของเรา​มันก็คลี่คลายได้​  แต่ถ้าความเจ็บปวดนั้นถึงขนาดที่ดูแล้วว่าใจสู้ไม่ไหว​บางทีเราก็ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ​หรือต้องคลี่คลายด้วยวิธีอื่น ​เช่น ลุกออกไปเดิน​แต่ยังรักษาสติให้ต่อเนื่อง​ ไม่รู้โยมจะสังเกตหรือเปล่าว่า​ช่วงนี้อาตมาจะนั่งพับเพียบ​ถึงแม้จะนั่งขัดสมาธิก็จะไม่นาน​ เพราะว่าจะปวด​นั่งอย่างนี้แล้วเจ็บที่ต้นขา​แต่มันก็เป็นไปตามธรรมชาต​ิ ไม่รู้จะทำอย่างไร​เราก็คอยกำหนดมันไว​้ปวดมากๆ​ก็จะออกไปเดินจงกรม​ เรื่องปวดทางร่างกายไม่ค่อยเป็นปัญหาเท่าไร​ มันเป็นธรรมชาต​ิ แต่ที่มันโกรธ​ ที่มันเกลียด​ ที่มันกังวล​ ตัวนี้แหละตัวปัญหา​ เพราะเป็นความเศร้าหมองของจิตใจ​เราจึงควรฝึกเพื่อให้สามารถที่จะรับความเจ็บปวดทางร่างกาย โดยไม่เศร้าหมอง ไม่กลัว ไม่เกลียดมันได้ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น