ถาม มีตัวอย่างหรือกลวิธีง่ายๆอะไร ที่เราจะทำให้คนเชื่อเรื่องการกลับมาเกิดใหม่หรือเรื่องกรรม เพราะบางคนไม่เชื่อเรื่องการตายแล้วต้องเกิดใหม่ จะให้พิสูจน์ด้วยการปฏิบัติธรรมเขาก็มองว่าเป็นการใช้เวลาลงทุนลงแรงมากเกินไป
ตอบ สำหรับคนที่ไม่เชื่อมันก็ยากที่จะบอก คือ เราไม่ต้องมองไกลจนเกินไป อาตมาคิดว่าในฐานะที่เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าคำสอนอื่นๆที่ท่านสอนไว้ มันก็ค่อนข้างมีความน่าเชื่อถือน่าไว้ใจ และที่ท่านได้สอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนั้น ท่านก็คงไม่สอนไว้เพื่อหลอกลวงเราหรือด้วยความไม่รู้ของท่าน ให้เราสังเกตดูคำสอนอื่นๆที่ท่านสอนมันมีหลักการที่ดีมาก คือ ท่านให้เราพจิารณาดูเรื่องการที่ตายแล้วต้องไปเกิดอีก เราก็ต้องอาศัยศรัทธาความเชื่อไว้ก่อน เพราะเรื่องนี้เราพิสูจน์๑๐๐% ไม่ได้ ยกเว้นว่าเรามีประสบการณ์ตรงซึ่งบางทีก็เป็นไปได้ มีฝรั่งคนหนึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย Virginia ตอนนี้คิดว่าเขาเกษียณแล้วเขาศึกษาเรื่องตายแล้วเกิดใหม่มานานเกือบ ๔๐ ปีแล้ว โดยสัมภาษณ์คน ที่เขาว่าตายแล้วเกิดใหม่อย่างเข้มงวดกวดขัน พยายามจะให้เป็นวิทยาศาสตร์สำหรับคนที่น่าสงสัยว่าน่าจะได้ความรู้ว่าจำชาติได้ด้วยวิธีอื่น เขาก็คัดออกๆจนเหลือเฉพาะคนที่ไม่มีวิธีอื่นที่จะรับรองว่าเขาตายแล้วเกิดใหม่โดยเขายังจำชาติเก่าได้ ซึ่งก็พอจะมีเหตุผลสนับสนุนเรื่องตายแล้วเกิดใหม่ บางทีเราอาจจะเคยพบคนที่เขาจำชาติก่อนของเขาได้ ถ้าได้เคยพบคนอย่างนี้ เราก็ควรจะดูว่าเขาน่าเชื่อถือไหม หรือเขาคุยโม้ ถ้าดูแล้วน่าเชื่อถือเขาไม่น่าจะหลอกเราก็ถือเป็นข้อมูลส่วนหนึ่ง นอกจากนี้เราก็สังเกตดูว่าการกระทำต่างๆย่อมมีผลตามกระบวนการของธรรมชาติ เรื่องจิตของเราก็เช่นกัน ที่พระพุทธศาสนาบอกว่าตายแล้วเกิดใหม่ก็เพราะเรายังมีเชื้อของความเกิดอยู่ คือ เรายังมีความสำคัญมั่นหมายยึดไว้ในความเป็นตัวตน ซึ่งธรรมชาติของกำลังอันนี้มันจะแสวงหาการเกิดใหม่ใหเ้ราทดลองว่าเราจ ะสามารถยับยั้งกระแสอย่างนี้ได้ไหม มันยากมาคิดดูว่า แม้จะทำความสงบมาน้อยเพียงใด จิตใจมันก็ยังมีความคิดพันอยู่กับความเป็นตัวเป็นตน เมื่อเราไม่สามารถที่จะตัดมันได้ในชาตินี้เวลาเราตายกำลังอันนี้มันก็ยังมีอยู่ไม่ได้หายไปไหนแล้วมันจะพาให้เกิดใหม่
ถาม ท่านอาจารย์ใช้วิธีใดในการรับมือกับเวทนาความเจ็บปวดขณะนั่งสมาธิ
ตอบ เรื่องเวทนา เราก็อาศัยสติกำาหนดรู้ รู้ว่าความเจ็บปวดเกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมชาติอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนทุกขเวทนาทางกายก็อย่างหนึ่ง แต่ว่าการปล่อยให้จิตใจเกิดความไม่ชอบ ไม่พอใจ เกิดความรู้สึกท้อแท้ทำไม่ไหว นั่นก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เราควรต้องแยกออก คือ ไม่ปล่อยให้เป็นเวทนาที่ทับถมจิตใจ ถ้าเป็นเวทนาทางกายเราก็รู้อยู่เราก็มองอยู่พิจารณาอยู่โดยสังเกตดูความไม่เที่ยง หรือบางทีเราก็ใช้เวทนาทางกายเป็นที่กำหนดเลย เพราะว่าบางครั้งเมื่อเกิดทุกขเวทนามันจะเกิดความรู้สึกไม่ชอบไม่พอใจจะมีความเกลียดหากเราจะบังคับไม่ให้มี มันอาจจะยิ่งสร้างความกระสับกระส่ายขึ้นในจิตใจอาจไม่ใช่วิธีที่ดีก็ให้เราดูทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น ให้เรายอมรับว่ามันเป็นของธรรมชาติ บางทีเราก็เอาลมหายใจเข้าลมหายใจออกไว้ที่จุดที่มีเวทนาเหมือนกับเราล้อมความเจ็บปวดนั้นด้วยสติและปัญญาของเรามันก็คลี่คลายได้ แต่ถ้าความเจ็บปวดนั้นถึงขนาดที่ดูแล้วว่าใจสู้ไม่ไหวบางทีเราก็ต้องเปลี่ยนอิริยาบถหรือต้องคลี่คลายด้วยวิธีอื่น เช่น ลุกออกไปเดินแต่ยังรักษาสติให้ต่อเนื่อง ไม่รู้โยมจะสังเกตหรือเปล่าว่าช่วงนี้อาตมาจะนั่งพับเพียบถึงแม้จะนั่งขัดสมาธิก็จะไม่นาน เพราะว่าจะปวดนั่งอย่างนี้แล้วเจ็บที่ต้นขาแต่มันก็เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่รู้จะทำอย่างไรเราก็คอยกำหนดมันไว้ปวดมากๆก็จะออกไปเดินจงกรม เรื่องปวดทางร่างกายไม่ค่อยเป็นปัญหาเท่าไร มันเป็นธรรมชาติ แต่ที่มันโกรธ ที่มันเกลียด ที่มันกังวล ตัวนี้แหละตัวปัญหา เพราะเป็นความเศร้าหมองของจิตใจเราจึงควรฝึกเพื่อให้สามารถที่จะรับความเจ็บปวดทางร่างกาย โดยไม่เศร้าหมอง ไม่กลัว ไม่เกลียดมันได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น