วิธีฝึกสังเกตว่า กุศลจิต หน้าตาเป็นอย่ำงไร เบื้องต้นให้ดูที่ความรู้สึกเบาดูความรู้สึกชุ่มชื่น และดูความรู้สึกสว่างไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรให้ถือว่าเกิด ‘นิมิตของกุศลจิต’ อย่างนั้น
ยกตัวอย่างเช่น ช่วยเหลือใครแล้วรู้สึกโล่งเบาแต่ไม่ชุ่มชื่นมากไม่เกิดความรู้สึกว่าสว่างมาก อันนี้นถือเป็นนิมิตของ กุศลจิตอ่อนๆ
แต่ถ้าใส่บาตรพระด้วยความปลื้มปีติรู้สึกโล่งเบาด้วยชุ่มชื่นเป็นอันมากด้วยหรือกระทั่งเหมือนสว่างออกมาจากข้างในด้วย อันนั้นถือเป็นนิมิตทางใจของ กุศลจิตแก่กล้า
กุศลจิตเกิดขึ้นได้หลายทาง เช่น เมื่อเดินเข้าไปในวัดที่เต็มไปด้วยพระปฏิมางามวิจิตรชวนให้รู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์สูงส่งของพระศาสดา ก็บังเกิดความปลื้มปีติอย่างใหญ
่จิตธรรมดาๆ แปรเป็นมหากุศลจิตได้
แต่โดยมากกุศลจิตจะไม่เกิดจากสิ่งกระทบภายนอก เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้เดินทางไปพบเจอพระปฏิมาล้ำค่าบ่อยๆหรือถ้าพบบ่อยก็กลายเป็นชิน เห็นเฉยๆโดยไม่กราบไหว้แล้วไม่รู้สึกชุ่มชื่นนัก
กุศลจิตโดยทั่วไปมักเกิดจากกุศลเจตนาหรือความตั้งใจดีเป็นหลัก เพราะความตั้งใจดีนั้นมีได้เรื่อยๆ แค่นั่งว่างๆแล้วคิดจะหายใจให้เกิดนิมิตลมเท่านี้ก็ชุ่มชื่นเป็นกุศลอย่างใหญ่ได้แล้วเพราะได้ทำบุญยกระดับจิตให้พ้นจำกคลื่นความฟุ้งซ่านซัดส่าย
วิธีฝึกสังเกตหน้าตาของ ‘กุศลเจตนา’ อันเป็นเหตุให้เกิดกุศลจิตตามมา เบื้องต้นให้ดูที่วิธีคิดช่วยคนก็ได้ เพราะแต่ละวันที่ต้องพบปะผู้คนนั้น อย่างไรคุณก็ต้องคิดช่วยคนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เมื่อต้องช่วยตามหน้าที่แล้วทำเต็มที่ด้วยเจตนาให้เขาเบาแรง หากรู้ทางสว่างทำให้เขาเบาแรงได้สำเร็จ คุณเองจะรู้สึกเบาใจ
แต่ถ้าแค่ช่วยตามหน้าที่ด้วยความรู้สึกทำไปแกนๆ ไม่ได้มุ่งหวังเกื้อกูลใครแม้ทำให้เขาเบาแรงได้ใจคุณก็มีน้ำหนักเท่าเดิมไม่ต่างไปเลย แต่ถ้าอยากช่วยแม้ไม่ต้องช่วยไม่ได้มีหน้าที่ตรงนั้นเลย แค่ช่วยด้วยความอยากสงเคราะห์ล้วนๆไม่มีประสงค์อื่นแอบแฝง อันนั้นหากทำให้เขาเบาแรงได้คุณจะเกิดความเบาใจด้วยชุ่มชื่นด้วยและถ้ายิ่งคนที่คุณช่วย คือผู้ทรงศีลหรือเป็นพระดีที่น่าเลื่อมใสใจคุณก็จะยิ่งบังเกิดความสว่างอาจวาบน้อยหรืออาจวาบนาน
เมื่อสังเกตน้ำหนักและทิศทางของกุศลเจตนาเป็น คุณจะมีกำลังใจทำกุศลมากขึ้นและยิ่ง ‘สร้างกุศล’ ได้มากขึ้นเท่าไรก็จะยิ่งเห็นจิต หรือกระทั่งทะลุไปเห็นนิมิต ‘ผลแห่งบุญทันตา’ เป็นภาพชีวิตที่มีความสุขมีความเจริญชัดเจนขึ้นทุกที!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น