คนเราชอบความสงบใจแต่ไม่ชอบสร้างเหตุให้ใจสงบ ชอบให้คนอื่นแสดงความอ่อนโยน แต่ไม่ชอบทำตัวเองให้อ่อนโยน
ไหว้อย่างอ่อนโยนใจจะอ่อนโยนสลายทิฐิมานะอันกระด้างบรรเทาโทสะอันร้อนแรงระงับอารมณ์ฟุ้งซ่านอันน่ารำคาญ ยิ่งมีโอกาสไหว้บ่อยเท่ากับยิ่งมีโอกาสสะสมความอ่อนโยนบ่อย
คนเรามีกรรมเป็นแดนเกิด เมื่อเกิดในประเทศที่มีธรรมเนียมการค้อมศรีษะไหว้อันเป็นสัญญลักษณ์ของจิตวิญญานที่มีเส้นทางกรรมอันสงบและอ่อนโยน ก็แปลว่าต้องเคยอยู่ในกลุ่มจิตวิญญาณที่อ่อนน้อม บนเส้นทางกรรมในการให้ความเคารพมาก่อน
อย่างไรก็ตามการไหว้เป็นสิ่งที่ฝืนทิฐิมานะ เมื่อต้องไหว้ก่อนทั้งที่ไม่นับถือกันคุณจะรู้สึกถึงความไม่อยากเปลืองมือ หรือกระทั่งจิตแข็งกระด้างด้วยโทสะ
แม้กระทั่งไหว้พระปฏิมา อันเป็นสื่อสัญลักษณ์ของบุคคลผู้น่าเคารพสูงสุดเป็นเครื่องฝึกใจให้เข้าสู่วิถีความนอบน้อมสุดใจลงทุนน้อยได้กำไรทางใจมาก แต่ก็ไม่ค่อยอยากฝฝึกกัน บางคนไม่เข้าใจถึงกับมองเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่ากับการทำท่ากราบไหว้สิ่งไร้ชีวิต ไม่เห็นเข้ามาข้างในว่าพระปฏิมาเป็นชนวนให้จิตประหวัดถึงพระคุณแห่งพระพุทธะ
เมื่อไหว้ผู้รู้ ย่อมมีส่วนแห่งความเป็นผู้รู้
แม้จะนบไหว้เพียงสัญลักษณ์ของผู้รู้
ใจก็เต็มด้วยอาการนบไหว้ผู้รู้
เข้าถึงอาการรู้อยู่เต็มอกว่าสว่างแจ้ง
ผู้ไหว้พระปฏิมาโดยสักแต่ใช้ตามองว่าเป็นหุ่นปั้นไร้ชีวิตมักเกิดความรู้สึกรีบร้อน อยากไหว้ให้จบๆ ไหว้ลวกๆ ไหว้เกร็งๆ ไหว้ฝืนๆแบบขอไปทีนั่นเอง จึงกลายเป็นเหตุใหญ่ให้ใจไม่สงบไม่อ่อนโยน หรือกระทั่งกร้าวกระด้างใจร้อนฟุ้งซ่านง่าย
ด้วยความฉลาดรู้ภาวะของจิตคุณย่อมเห็นว่าการไหว้พระจัดเป็น‘ของใหญ่’คือไม่ใช่เรื่องเล็ก ไหว้ด้วยอาการทางใจอย่างไรการปรุงแต่งที่เกิดกับจิตก็อย่างนั้น
เมื่อค้อมศีรษะด้วยจิตอันงามมงคลอันงามย่อมปรากฏอยู่เหนือศีรษะฐานความคิดอันเป็นกุศลย่อมปรากฏอยู่ในศีรษะ
แต่เมื่อก้มกราบลวกๆกับสิ่งที่เป็นมหามงคล อัปมงคลย่อมปรากฏครอบศรีษะ ฐานความคิดอันเป็นอกุศลย่อมปรากฏอยู่ในศีรษะ
มงคลอันสว่างกับอัปมงคลอันมืดเป็นสิ่งรู้สึกได้เฉพาะตนด้วยจิตที่ฉลาด แต่หากจิตไม่ฉลาดเข้าพวกกันกับอัปมงคลอยู่ก็นึกว่าไม่เป็นไรไม่เห็นมีอะไรมากไปกว่าอาการทางกายงั้นๆ!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น