วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

รู้ทางอ่อนน้อม

          คนเราชอบความสงบใจแต่ไม่ชอบสร้างเหตุให้ใจสงบ ชอบให้คนอื่นแสดงความอ่อนโยน แต่ไม่ชอบทำตัวเองให้อ่อนโยน 
          ไหว้อย่างอ่อนโยนใจจะอ่อนโยนสลายทิฐิมานะอันกระด้างบรรเทาโทสะอันร้อนแรงระงับอารมณ์ฟุ้งซ่านอันน่ารำคาญ ยิ่งมีโอกาสไหว้บ่อยเท่ากับยิ่งมีโอกาสสะสมความอ่อนโยนบ่อย 
          คนเรามีกรรมเป็นแดนเกิด  เมื่อเกิดในประเทศที่มีธรรมเนียมการค้อมศรีษะไหว้อันเป็นสัญญลักษณ์ของจิตวิญญานที่มีเส้นทางกรรมอันสงบและอ่อนโยน  ก็แปลว่าต้องเคยอยู่ในกลุ่มจิตวิญญาณที่อ่อนน้อม  บนเส้นทางกรรมในการให้ความเคารพมาก่อน 
          อย่างไรก็ตามการไหว้เป็นสิ่งที่ฝืนทิฐิมานะ เมื่อต้องไหว้ก่อนทั้งที่ไม่นับถือกันคุณจะรู้สึกถึงความไม่อยากเปลืองมือ  หรือกระทั่งจิตแข็งกระด้างด้วยโทสะ 
          แม้กระทั่งไหว้พระปฏิมา อันเป็นสื่อสัญลักษณ์ของบุคคลผู้น่าเคารพสูงสุดเป็นเครื่องฝึกใจให้เข้าสู่วิถีความนอบน้อมสุดใจลงทุนน้อยได้กำไรทางใจมาก  แต่ก็ไม่ค่อยอยากฝฝึกกัน  บางคนไม่เข้าใจถึงกับมองเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่ากับการทำท่ากราบไหว้สิ่งไร้ชีวิต  ไม่เห็นเข้ามาข้างในว่าพระปฏิมาเป็นชนวนให้จิตประหวัดถึงพระคุณแห่งพระพุทธะ


เมื่อไหว้ผู้รู้ ย่อมมีส่วนแห่งความเป็นผู้รู้ 
แม้จะนบไหว้เพียงสัญลักษณ์ของผู้รู้ 
ใจก็เต็มด้วยอาการนบไหว้ผู้รู้ 
เข้าถึงอาการรู้อยู่เต็มอกว่าสว่างแจ้ง


          ผู้ไหว้พระปฏิมาโดยสักแต่ใช้ตามองว่าเป็นหุ่นปั้นไร้ชีวิตมักเกิดความรู้สึกรีบร้อน อยากไหว้ให้จบๆ ไหว้ลวกๆ ไหว้เกร็งๆ  ไหว้ฝืนๆแบบขอไปทีนั่นเอง  จึงกลายเป็นเหตุใหญ่ให้ใจไม่สงบไม่อ่อนโยน หรือกระทั่งกร้าวกระด้างใจร้อนฟุ้งซ่านง่าย
          ด้วยความฉลาดรู้ภาวะของจิตคุณย่อมเห็นว่าการไหว้พระจัดเป็น‘ของใหญ่’คือไม่ใช่เรื่องเล็ก ไหว้ด้วยอาการทางใจอย่างไรการปรุงแต่งที่เกิดกับจิตก็อย่างนั้น 
          เมื่อค้อมศีรษะด้วยจิตอันงามมงคลอันงามย่อมปรากฏอยู่เหนือศีรษะฐานความคิดอันเป็นกุศลย่อมปรากฏอยู่ในศีรษะ 
          แต่เมื่อก้มกราบลวกๆกับสิ่งที่เป็นมหามงคล  อัปมงคลย่อมปรากฏครอบศรีษะ  ฐานความคิดอันเป็นอกุศลย่อมปรากฏอยู่ในศีรษะ 
          มงคลอันสว่างกับอัปมงคลอันมืดเป็นสิ่งรู้สึกได้เฉพาะตนด้วยจิตที่ฉลาด  แต่หากจิตไม่ฉลาดเข้าพวกกันกับอัปมงคลอยู่ก็นึกว่าไม่เป็นไรไม่เห็นมีอะไรมากไปกว่าอาการทางกายงั้นๆ!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น