วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

รู้ทางระงับความฟุ้งซ่าน

          สิ่งหนึ่งที่บอกว่าคุณมีความฉลาดทางจิตคือการรู้กลไกอันเป็นธรรมชาติของจิตหรือรู้ว่าเหตุทางจิตอันใดเกิดเป็นธรรมดาผลทางจิตที่สอดคล้องกันนั้นย่อมเกิดเป็นธรรมดาเช่นกันด้วย 
          ความรู้เหตุรู้ผลทางจิตช่วยให้ไม่คาดหวังอะไรที่เกินไปกว่าธรรมชาติของจิตจะให้ได้ ยกตัวอย่างเช่น คนฉลาดจำนวนมาก เข้าใจผิดเกี่ยวกับจิตตนเลยทำใหตั้งเป้าโง่ๆ  เช่น สำคัญว่าความฉลาดทางจิต หมายถึงต้องไม่ฟุ้งซ่านเลย ต้องมีจิตเงียบสลบอยู่ตลอดเวลา  เหมือนผู้เฒ่าแสนสุขุมในภาพยนตร์จีนกำลังภายใน 
          ที่แท้แล้ว  ผู้ฉลาดทางจิตย่อมรู้ว่า เมื่อมีเหตุให้ฟุ้งอย่างไรก็ต้องฟุ้ง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใช้ชีวิตอยู่ในเมืองทำมาหากินประสาชาวบ้านธรรมดา ต้องสะสางภารกิจมากมาย ต้องฝ่ากระแสความขัดแย้งในห้องประชุม ต้องจัดการดูแลคนในครอบครัวให้ดำเนินไปได้เป็นปกติสุข  ด้วเหตุเหล่านี้ถ้าใครควบคุมจิตใจให้สงบราบคาบเป็นกระจกได้ตลอดเวลา ก็น่าสันนิษฐานว่าเป็นผู้มีความผิดปกติทางสมองบางประการแล้ว 
          เมื่อสังเกตจากประสบการณ์ตรง เห็นว่าการทำงานคือก่รสะสมความฟุ้งซ่านเป็นธรรมดา ผู้มีความฉลาดทางจิตย่อมไม่เพิ่มเหตุความฟุ้งซ่านให้หนักเข้าไปอีก เช่น ไม่นั่งรำพึงว่าเมื่อใรจิตจะสงบหนอ?  เมื่อไรจะมีเวลาว่างปลีกวิเวกกับเขาบ้างหนอ?  เมื่อไรจะได้อุบายวิธีทำสมาธิดีๆที่ช่วยให้สงบได้ตลอดเวลาบ้างหนอ? 
      การรำพึงด้วยความอยากได้อยากดีอยากมีอยากเป็นเช่นนีี้นอกจากไม่ช่วยอะไรยังซ้ำเติมสถานการณ์ทางจิตให้ยิ่งย่ำแย่กว่าเก่าเพราะคุณจะมีช่วงเวลาของความฟุ้งซ่านเพิ่มเติม คือ‘เราไม่สงบเสียที!  เราไม่ฉลาดทางจิตเสียที!’ 
          การเสียเวลารำพึงรำพันหรือการเอาใจไปจดจ่ออยากได้อยากมีในสิ่งที่มีไม่ได้คือ‘ความโง่ติดตัว’ ที่มีมากับจิตของทุกคน  เพื่อให้ฉลาดขึ้นคุณต้องเปลี่ยนโหมดจากปล่อยใจให้ไหลไปเรื่อยตาม ‘ความอยาก’มาเป็นการรู้‘ความจริง’เป็นขณะๆ เช่น กำลังฟุ้งซ่านก็ยอมรับตามจริงว่ากำลังฟุ้งซ่าน ไม่ใช่ไปอยากหายฟุ้งซ่านเดี๋ยวนี้ให้ทุกข์เปล่า 
          พอยอมรับตามจริงได้ก็แน่ใจได้ว่าจะไม่ฟุ้งเพิ่มด้วยอาการ‘ยอมรับความจริงไม่ได้!’ หลังจากนั้นก็ต้องพิจารณาว่าเมื่องานหนักเป็นเหตุสะสมให้ฟุ้งซ่ำน ทีนี้พอเลิกงานแล้วหมดเหตุให้ฟุ้งซ่านอย่างหนักแล้ว เหตุใดยังคงฟุ้งซ่านต่อไม่เลิก?  มีวิธีให้ฟุ้งซ่านเบาลงทุกวันได้ไหม? 
          สาเหตุที่เลิกงานแล้วไม่สงบ ก็เพราะคนส่วนใหญ่ยังสะสมเหตุแห่งความฟุ้งซ่านกันต่อ ในนามของ ‘อารมณ์บันเทิง’บ้าง  หรือในนามของ‘อารมณ์อยากจับใครมาเม้าท์ให้สนุก’ บ้าง 
          การดูหนังฟังเพลงไม่ใช่ความสงบใจ แต่เป็นการปล่อยใจให้หลงฟุ้งไปกับเครื่องยั่วใจให้คิดตาม การจับกลุ่มนินทาชาวบ้านยิ่งไม่ใช่ความสงบใจแต่เป็นการตามใจตัวเองให้โดดลงไปละเลงตัวเองในช่วง ‘ตีไข่ใส่สี’
        ผู้ที่ฉลาดทางจิตเมื่อเห็นตัวเอง‘ฟุ้งซ่านสะสม’จากการทำงานหนักมาทั้งวันแล้วมาดูหนังดูละคร จะรู้ทันว่า  หนังและละครแต่ละเรื่องมีผลกระทบกับจิตต่างกัน  บางเรื่องแทนที่จะทำให้ผ่อนคลาย กลับมีเนื้อหาให้ยิ่งเครียดหนักขึ้น หรือบางเรื่องช่วยให้ผ่อนคลายจริงแต่ก็กระทำจิตให้ตกอยู่ในอาการฝันเพ้อละเมอไปไกล แล้วอารมณ์ฝันเพ้อที่ว่านี้ก็ก่อกวนจิตให้อยู่ในสภาพวกวนเหมือนคนๆเรื่องยุ่งเหยิงในหัวให้ยิ่งสับสนอลหม่านไม่เลิก
        หากเปรียบอารมณ์ฟุ้งซ่านเคร่งเครียดเป็นไข้ อารมณ์ฝันที่เป็นไปไม่ได้ก็เหมือนหมอที่เลี้ยงไข้ คือ ช่วยให้รู้สึกดีตอนมาหา แต่ยาที่รับกลับบ้านก็ต่ออายุไข้ให้ยืดออกไปอีก 
          ผู้ที่ฉลาดทางจิต เมื่อเห็นตัวเอง‘ฟุ้งซ่านเลอะเทอะ’จากการทำงานท่ามกลางความขัดแย้งแล้วถึงเวลาพักคุยกับคนสนิทมีโอกาสพูดถึงข้อไม่ดีนิสัยแย่ๆ ตลอดจนเรื่องส่วนตัวเน่าๆของศัตรูคู่แค้น จะเริ่มไหวทันว่า  ตอน ‘พ่นพิษ’ ออกมาจากปากนั้นในสมองเหมือนมีการ ‘เพิ่มพิษ’ ให้ตัวเองด้วย เพราะแม้สะใจที่ได้กระหน่ำด่าอย่างสนุก แต่จิตข้างในไม่สนุกด้วย ยิ่งด่ามากจิตยิ่งดำมาก ยิ่งสรรคำได้เจ็บแสบมาก จิตยิ่งแสบร้อนมาก
         ยิ่งไปกว่านั้น  หากฉลาดทางจิตมากแล้ว คุณจะรู้เพิ่มขึ้นอีกว่า  ถ้านินทาว่าร้ายคนเลวจริง ผลคือ การเอาความเลวของเขามาเปื้อนจิตตัวเองเป็นมลทินไปด้วย และยิ่งหนักว่านั้นหากนินทาว่าร้ายคนที่ไม่นินทาว่าร้ายใครตอบ กับทั้งไม่มีใจอยากเบียดเบียนใครเลย   ผลจะเหมือนอยู่ดีๆคุณเอาจิตไปหมักในถังส้วม  หรือถังเชื้อโรคสี่สร้างขึ้นมาเองเหม็นเน่าเอง ว้าวุ่นจัดเอง
          หลักฐานทางจิตบอกเราว่า  การด่าเอามันนั้นไม่ว่าจะด่าคนเลวหรือคนดี  ก็ได้ความเลวน้อยหรือเลวมากเข้าตัวทั้งสิ้น  หากไม่ใช่การ‘หาที่ติด้วยใจเป็นกลาง’ เพื่อนำมาใช้ปรับปรุถงการทำงานหรือหากไม่ใช่การ ‘ติเพื่อก่อ’ต่อหน้าเจ้าตัวด้วยความปรารถนาดีกับเขา  อย่างไรใจคุณก็ต้องร้อนขึ้นด้วยโทสะ หรือไม่ก็เปรอะเปื้อนด้วยวจีทุจริตทั้งสิ้น
        สรุปแล้วท่าทีในการจัดการกับความฟุ้งซ่านสะสมอันเกิดจากงานหนักจึงไม่ควรเป็นหนังละครแซบๆหรือวงนินทาที่เผ็ดร้อนมันไม่ตอบโจทย์ สิ่งที่ถูกต้องถูกเป้าหมาย คือหาทางดึงจิตกลับสู่ภาวะอันเป็นธรรมชาติสงบในตัวเองต่างหาก
          สำหรับผู้ที่ต้องทำงานเหนื่อยหนักแทบไม่เว้นแต่ละวันคุณจำเป็นต้องมี‘ตัวลั่นไก’ในระดับความเคยชินทางสมองไม่มีอุบายลัดที่ใช้เวลาสั้นๆมีแต่ต้องสั่งสมความเคยชินกันยาวๆทั้งนั้น 
          ตัวลั่นไกในที่นี้หมายถึง สิ่งที่เข้ามากระทบหูกระทบตา หรือกระทบใจคุณแล้วทำให้จิตคุณเปลี่ยนโหมด เปลี่ยนภาวะการทำงานหรือเปลี่ยนวิธีคิดไปคนละแบบอย่างรวดเร็วหรือฉับพลันทันที 
           ตัวอย่างที่ดีที่ทำให้คุณนึกออกก็เช่นผืนทะเลงามในต่างจังหวัดไกลๆสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยสีเขียวขจีเย็นตา หรือแค่ท้องฟ้ากว้างใหญ่หลังบ้านธรรมชาติยังอยู่กับเราเสมอแค่คุณต้องแหงนคอ มองหรือเดินทางไปหน่อยเท่านั้น 
          เมื่อคุณกลับไปสู่ธรรมชาติได้ จิตก็เหมือนพร้อมจะสงบตามธรรมชาติได้ทันทีเช่นกันขออย่างเดียวคือต้องเอาตาไปดูเต็มเอาหูไปฟังเต็มๆและเอาใจไปจดจ่อเต็มๆด้วย ไม่ใช่ตาดูครึ่งเดียวแล้วแปรไปจ้องจอมือถือ  ไม่ใช่หูฟังครึ่งเดียวแล้วแปรไปฟังเพลงที่พกมาด้วย  และที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ใจจ่อครึ่งเดียวแล้วกลับไปหมกมุ่นครุ่นคิดถึงงานอีก 
           คุณจะพบว่าเพียงมองปุยเมฆบนท้องฟ้ากว้างได้ด้วยตาเต็มๆกับใจเต็มๆเพียงครึ่งนาทีหลังเลิกงานได้ทุกวัน ความรู้สึกจะเหมือนมีพนักงานทำความสะอาดมาช่วยล้างท่อที่อุดตันในหัวเลยทีเดียว!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น