เมื่อสังเกตและเริ่มระแคะระคายแล้วว่า
‘การสื่อสารทางจิต’มีจริง
‘คลื่นรบกวน’ การเห็นและการได้ยินมีจริง
‘พลังความสงบ’ ที่ตรึงให้อยากพูดคุยด้วยมีจริง
‘แรงกดดัน’ ที่น่าอึดอัดชวนให้อยากเดินหนีมีจริง
รู้ประมาณนี้ด้วยใจที่มีสติรู้ความแตกต่างอย่างไม่มีอคติ คุณก็อาจฝึกสังเกตุอะไรง่ายๆได้อีกมากอย่างเช่น ถ้าคุณโกรธเกลียดใคร และเขาก็โกรธเกลียดคุถณพอๆกัน (คือไม่ใช่รู้สึกอยู่ข้างเดียว) สิ่งที่ต่างฝ่ายต่างรู้สึกได้คือความเป็นขั้วมืดให้แก่กันและกัน เมื่อเจอกันจะรู้สึกมืดเท่าๆกัน หรือแม้กระทั่งคิดถึงกันเป็นต้องอารมณ์เสียทันท ีแม้กายภายนอกจะอยู่ในอิริยาบถท่าทางปกติก็ตาม
ขอให้มองเป็นสัญลักษณ์โดยสีดำแทนความรู้สึกเกลียดและท่าตั้งการ์ดกำหมัดแทนอารมณ์อยากสู้กัน
จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหมดอารมณ์สู้แล้วนึกอยากญาติดีกันและที่สำคัญมีเมตตาที่ใหญ่กว่าความเกลียดของอีกฝ่ายอีกฝ่ายจะลดการ์ดลงและจิตมีความดำน้อยลงเหลือแค่ขุ่นมัวไม่ถึงกับมืดมิด
นี่เป็นประสบการณ์ตรงที่ทุกคนเคยพบมาก่อนไม่มากก็น้อยจิตที่มีเมตตาจริงใหญ่กว่าจิตที่มีความเกลียดและมีอิทธิพลบรรเทาความเกลียดหรือกระทั่งสลายความเกลียดของฝ่ายตรงข้ามได้เหมือนเช่นที่เปลวไฟเล็กกว่านิ้วก้อยทำลายความมืดรอบตัวมันได้เกือบทั่วทั้งห้อง
อารมณ์เมตตาเกิดขึ้นเมื่อใจเป็นกุศลเป็นสุขเย็นอยากเผื่อแผ่ไม่อยากเบียดเบียนใครแม้กระทั่งคนที่เคยเป็นศัตรูคู่แค้น
กล่าวโดยสรุปคือ จิตของคนสองคนถ้ามืดเข้าใส่กันจะกระตุ้นกันและกันให้เกิดความเกลียดชังเหมือนอยากห้ำหั่นกัน แต่ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสว่างนำขึ้นมาก่อนก็อาจละลายอารมณ์อยากห้ำหั่นหรือสลายขั้วความเกลียดชังได้ส่วนที่ว่าจะถาวรหรือชั่วคราวก็ขึ้นอยู่กับความเต็มใจและยินดีของทั้งสองฝ่ายว่า อยากรักษาเมตตาให้สืบเนื่องยั่งยืนเพียงใด!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น