แม้จะพูดจาสื่อสารกันด้วยปากคำ แท้จริงแล้วคุณก็อาศัยจิตเป็นพาหะในการสื่อสารอยู่จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
เคยสงสัยไหมว่า บำงทีคนสองคนพูดเหมือนกัน แต่ทำไมคุณฟังแล้วรู้สึกต่างกัน?
ความจริงก็คือ การอยู่ต่อหน้าใครคนหนึ่งจิตของคุณถูกปรุงแต่งไปแล้วแบบหนึ่งโดยหน้าตา น้ำเสียงวิธีพูดพลังในตัวตลอดจนความน่าสนใจทางบุคลิกทั้งหมดของเขาคนนั้น
ตัวตนของใครบางคนออ่นแอเกินกว่าจะกระตุ้นให้คุณเกิดความสนใจเข้มแข็งพอที่จะฟังชัดๆตั้งแต่แรกจนคำสุดท้าย ขณะที่ตัวตนของใครอีกคนอาจก้าวร้าวเกินกว่าจะทำให้คุณเกิดความรุ้สึกดีๆพอที่จะรับฟังเนื้อความโดยปราศจากความรู้สึกต่อต้านหรือไม่มีอคติเสียก่อน
ใครบางคนแค่ปรากฏตัวก็เหมือนคลื่นรบกวนจิตใจคุณให้ปั่นป่วนเกินกว่าจะมีสมาธิฟังจนจบโดยไม่ฟุ้งซ่านไปทางอื่นขณะที่ใครอีกคนแค่ยืนนิ่งให้คุณเห็นก็เหมือนแผ่พลังสงบสยบความฟุ้งซ่าน ชวนให้คุณนึกอยากจ่อใจฟังเขาพูดนานๆแล้ว
นอกจากนั้นทั้งน้ำเสียงทั้งจังหวะจะโคนทั้งวิธีเลือกคำ ล้วนเป็นปัจจัยปรุงแต่งจิตของคุณให้เกิดความพร้อมรับหรือพร้อมปฏิเสธพร้อมจะเขำ้ใจกระจ่างหรือสับสน
เมื่อเริ่มเห็นภาพรวมว่าเหตุใดคนสองคนเหมือนกัน แต่ใจคุณรู้สึกแตกต่างได้เป็นคนละเรื่อง คุณก็จะเริ่มมองย้อนมาเข้าใจได้เช่นกันว่าเหตุใดคุณพูดบางวันคนฟังบางวันคนไม่ฟังบางคำคนอื่นพูดแล้วรุ่งแต่คุณพูดกลับร่วง
ทั้งหลายทั้งปวงก็เพราะ การสื่อสารนั้นไม่ได้เริ่มที่คำพูดแต่เริ่มจากตัวคนพูด นับจาก‘ความพร้อมทางจิต’ เป็นอันดับแรก
ถ้าคุณกำลังอยู่ในอารมณ์เย็นๆหนักแน่น พลังการสื่อสารจะคมชัดไร้คลื่นรบกวน แต่ถ้าคถุณกำลังอยู่ในอารมณ์ร้อนๆเร่งรัด พลังการสื่อสารจะพร่ามัวเต็มไปด้วยคลื่นรบกวน
เมื่อทำไว้ในใจว่า คนเรารับแรงสะเทือนทางหูตาตลอดจนกระแสทางใจได้มากกว่าคำพูด คุณจะอยาก‘รู้ตัว’มากขึ้นว่าขณะต้องพูดนั้นกำลังพร้อมจะพูดหรือสมควรปรับจิตปรับใจให้ดีเสียก่อนพูด
เมื่อรู้ทั้งสภาพที่พร้อมและไม่พร้อมอันเป็นของภายใน นี่ก็เรียกว่า เริ่มรู้สึกถึงจิตได้ด้วยจิตแล้ว
คณุอาจทำแบบฝึกหัดในการสังเกตการสื่อสารด้วยจิต เช่น เมื่อคุยกับใครตามลำพังสองคนให้ถามตัวว่า
๑ คุณนึกอยากคุยด้วยหรือไม่อยากคุยด้วย หากไม่อยากคุยด้วย ให้สันนิษฐานว่าระหว่างจิตคุณกับจิตเขาเป็นคลื่นรบกวนกันอาจจะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายที่ส่งคลื่นรบกวนให้จูนกันไม่ติด ไม่พร้อมจะสื่อสารกันเต็มร้อย
๒ เมื่อพูดคุยกันสายตาของคุณกับเขาประสานกันได้ตรงๆหรือไม่หากสามารถประสานกันได้ตรงๆระหว่างพูดคุยและรับฟังได้นานๆ แปลว่า จิตแนบเข้าหากันได้และยิ่งถ้ารู้สึกถึงการล็อกติดพอดีเป็นที่สบาย ก็ให้นับว่าคุณกับเขาคุยกันแล้วได้ช่องสื่อสารชั้นดี แต่หากสบตาตรงกันไม่ได้นานหรือมีความอึดอัดไม่สบายระหว่างพูดคุยก็ให้เข้าใจว่าช่องการสื่อสารทางจิตยังไม่ "ปรับตรง" เข้าหากันสนิทนัก
๓ สังเกตว่าเมื่อพูดคุยนานไป คลื่นรบกวนหรืออาการจูนกันไม่ติดในช่วงต้นปรับระดับลดคลื่นรบกวนและจูนกันได้สบายขึ้นเรื่อยๆหรือไม ่ ถ้ารู้สึกสบายอึดอัดน้อยลงแปลว่าวิธีพูด วิธีเลือกใช้คำของทั้งสองฝ่าย ปรับแต่งจิตให้เข้าสู่ความเป็นกันเองในย่านเดียวกัน
๔ สังเกตว่าหลังจากคุยจบ คุณมีความรู้สึกดีๆ อยากคุยต่อ หรือว่า ไม่อยากคุยกับคนนี้อีกเลย และสังเกตด้วยว่านานไปเมื่อคิดถึงบทสนทนาคุณนึกชอบหรือนึกชังเป็นหลัก หากรู้สึกดีๆ นึกชอบใจ ก็ หมายความว่า จิตของคุณเชื่อมกับเขาหรือเธอในทางดี ซึ่งอาจตรงหรือไม่ตรงกันกับความรู้สึกของฝ่ายนั้นก็ได้
๕ สังเกตุว่าถ้าพบกันอีกทั้งคุณและอีกฝ่ายมีความร่าเริงรู้สึกต่อติดง่าย พูดคุยกันอย่างเป็นกันเองทันที แปลว่าขั้วจิตของทั้งคุณและฝ่ายนั้นเชื่อมกันในทางที่เป็นมิตร ซึ่งจะเป็นมิตรจริงหรือมิตรปลอม อันนี้ดูจากแค่การพูดคุยครั้งสองครั้งไม่ได้ ลึกลงไปยังมีสิ่งลึกลับ อันได้แก่ ความคิดที่สลับซับซ้อนแบบมนุษย์ซ่อนอย ู่จะเห็นกันจริงก็เมื่อพูดคุยไปนานๆ ผ่านบทสนทนาหลายข้อ หลายแง่มุม ทั้งที่ห่างไกล และทั้งที่กระทบตนกระทบท่านหรือมีกิจกรรมร่วมกันพิสูจน์ธาตุแท้ของแต่ละคนมาช่วยให้รู้จักกันและกันจริง
เมื่อเริ่มรู้สึกถึงความเป็นจิตเขาจิตเรา คุณจะไม่มองว่านั่นเป็นแค่พลังจากคลื่นไฟฟ้าสมอง แต่เป็นธรรมชาติอีกชนิดที่ให้ความรู้สึกสว่างเป็นกุศลได้หรือให้ความรู้สึกมืดเป็นอกุศลได ้ และนี่ก็คือตัวอย่างง่ายๆ ที่คุณ ‘พบจิต’ ได้ในชีวิตประจำวัน!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น