วันวิสาขบูชา 2558 ตรงกับวันที่ 1 มิถุนายน ซึ่งปกติวันวิสาขบูชา ตรงกับขึ้น 15 ค่ํา เดือน 6 แต่ปีนี้เป็นปีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนเป็นวันขึ้น 15 ค่ํา เดือน 7 วันวิสาขบูชามีความเป็นมาและความสําคัญดังนี้
ความหมายของวันวิสาขบูชา คําว่า วิสาขบูชา ย่อมาจากคําว่า "วิสาขปุรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ" ดังนั้น วิสาขบูชา จึงหมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือน 6
การกําหนดวันวิสาขบูชา วันวิสาขบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ํา เดือน 6 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งมักจะตรงกับเดือนพฤษภาคม หรือมิถุนายน แต่ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ํา กลางเดือน 7 หรือราวเดือน มิถุนายน
อย่างไรก็ตาม ในบางปีของบางประเทศ อาจกําหนดวันวิสาขบูชาไม่ตรงกับของไทยเนื่องด้วยประเทศเหล่านั้นอยู่ในตําแหน่งที่ต่างไปจากประเทศไทย ทําให้วันเวลาคลาดเคลื่อนไปตามเวลาของประเทศนั้น ๆ
ประวัติและความสําคัญของวันวิสาขบูชา
วันวิสาขบูชา ถือเป็นวันสําคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่เกิด 3 เหตุการณ์สําคัญที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวียนมาบรรจบกันในวันเพ็ญเดือน 6 แม้จะมีช่วงระยะเวลาห่างกันนับเวลาหลายสิบปี ซึ่งเหตุการณ์อัศจรรย์ 3 ประการ ได้แก่
1. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ เมื่อพระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระครรภ์แก่จวนจะประสูติ พระนางแปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ เพื่อประสูติในตระกูลของพระนางตามประเพณีนิยมในสมัยนั้น ขณะเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน พระนางก็ได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ต้นสาละ ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 80 ปี ครั้นพระกุมารประสูติได้ 5 วัน ก็ได้รับการถวายพระนามว่า "สิทธัตถะ" แปลว่า "สมปรารถนา" เมื่อข่าวการประสูติแพร่ไปถึงอสิตดาบส 4 ผู้อาศัยอยู่ในอาศรมเชิงเขาหิมาลัย และมีความคุ้นเคยกับพระเจ้าสุทโธทนะ ดาบสจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าและเม่ือเห็นพระราชกุมารก็ทํานายได้ทันทีว่า นี่คือผู้จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงกล่าวพยากรณ์ว่า "พระราชกุมารนี้ จักบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ เห็นแจ้งพระนิพพานอันบริสุทธิ์อย่างยิ่งทรงหวังประโยชน์แก่ชนเป็นอันมากจะประกาศธรรมจักรพรหมจรรย์ของพระกุมารนี้จักแพร่หลาย" แล้ว กราบลงแทบพระบาทของพระกุมาร พระเจ้าสุทโธทนะทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์นั้นทรงรู้สึกอัศจรรย์ และเปี่ยมล้นด้วยปีติ ถึงกับทรุดพระองค์ลงอภิวาทพระราชกุมารตามอย่างดาบส
2. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมโพธิญาณ หลังจากออกผนวชได้ 6 ปี เมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา เจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ฝั่งแม่น้ําเนรัญชรา ตําบลอุรุเวลาเสนานิคม ในตอนเช้ามืดของวันพุธขึ้น 15 ค่ํา เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า พุทธคยา เป็นตําบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของ อินเดีย สิ่งที่ตรัสรู้ คือ อริยสัจสี่ เป็นความจริงอันประเสริฐ 4 ประการของพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไป ที่ต้นมหาโพธิ์ และทรงเจริญสมาธิภาวนาจนจิตเป็นสมาธิได้ฌานที่ 4 แล้วบําเพ็ญภาวนาต่อไปจนได้ฌาน 3 คือ
ยามต้น : ทรงบรรลุ "ปุพเพนิวาสานุติญาณ " คือ ทรงระลึกชาติในอดตีทั้งของตนเองและผู้อื่น ได้
ยามสอง : ทรงบรรลุ "จุตูปปาตญาณ" คือ การรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ด้วย การมีตาทิพย์สามารถเห็นการจุติและอุบัติของวิญญาณทั้งหลาย
ยามสาม หรือยามสุดท้าย : ทรงบรรลุ "อาสวักขญาณ" คือ รู้วิธีกําจัดกิเลสด้วย อริยสัจ 4 (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญเดือน 6 ซึ่งขณะนั้น พระพุทธองค์มีพระชนมายุได้ 35 พรรษา
3. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน (ดับสังขารไม่กลับมาเกิดสร้างชาติ สร้างภพอีกต่อไป) เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และแสดงธรรมเป็นเวลานานถึง 45 ปี จนมีพระชนมายุได้ 80 พรรษา ได้ประทับจําพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ในระหว่างนั้นทรงประชวรอย่างหนัก ครั้นเมื่อถึงวันเพ็ญ เดือน 6 พระพุทธองค์กับพระภิกษุสงฆ์ท้ังหลาย ก็ไปรับภัตตาหารบิณฑบาตที่บ้านนายจุนทะ ตามคํากราบทูลนิมนต์ พระองค์เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะตั้งใจทําถวาย ก็เกิดอาพาธลงแต่ทรงอดกลั้นมุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินาราประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน เมื่อถึงยามสุดท้ายของคืนนั้นพระพุทธองค์ก็ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า "ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลายอันว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด" หลังจากนั้นก็เสด็จเข้าดับขันธ์ปรินิพพาน ในราตรี เพ็ญเดือน 6 นั้น
ประวัติความเป็นมาของวันวิสาขบูชาในประเทศไทย
ปรากฏหลักฐานว่า วันวิสาขบูชา เริ่มต้นตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี สันนิษฐานว่าได้รับแบบแผน มาจากลังกาเมื่อประมาณ พ.ศ. 420 พระเจ้าภาติกุราชกษัตริย์แห่งกรุงลังกา ได้ประกอบพิธีวิสาขบูชาขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา จากนั้นกษัตริย์ลังกาพระองค์อื่น ๆ ก็ปฏิบัติประเพณีวิสาขบูชานี้สืบทอดต่อกันมา
ส่วนการเผยแผ่เข้ามาในประเทศไทยนั้น น่าจะเป็นเพราะประเทศไทยในสมัยกรุงสุโขทัยมีความสัมพันธ์ด้านพระพุทธศาสนากับประเทศลังกา เห็นได้จากมีพระสงฆ์จากลังกาหลายรูปเดินทางเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนา และนําการประกอบพิธีวิสาขบูชาเข้ามาปฏิบัติในประเทศไทย
สําหรับการปฏิบัติพิธีวิสาขบูชา ในสมัยสุโขทัยน้ันได้มีการบันทึกไว้ในหนังสือนางนพมาศสรุปได้ว่า เมื่อถึงวันวิสาขบูชา พระเจ้าแผ่นดิน ข้าราชบริพาร ทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายในตลอดทั้งประชาชนชาวสุโขทัย จะช่วยกันประดับตกแต่งพระนครด้วยดอกไม้ พร้อมกับจุดประทีปโคมไฟให้ดูสว่างไสวไปทั่วพระนคร เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน เพื่อเป็นการบูชาพระรัตนตรัย ขณะที่พระมหากษัตริย์และบรมวงศานุวงศ์ทรงศีล และทรงบําเพ็ญพระราชกุศลต่าง ๆ ครั้นตกเวลาเย็นก็เสด็จพระราชดําเนินพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และนางสนองพระโอษฐ์ตลอดจนข้าราชการทั้ง ฝ่ายหน้า และฝ่ายในไปยังพระอารามหลวง เพื่อทรงเวียนเทียนรอบพระประธาน ส่วนชาวสุโขทัยจะรักษาศีล ฟังธรรม ถวายสลากภัต สังฆทาน อาหารบิณฑบาตแด่พระภิกษุสามเณร บริจาคทานแก่คนยากจน ทําบุญไถ่ชีวิตสัตว์ ฯลฯ
หลังจากสมัยสุโขทัย ประเทศไทยได้รับอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์มากขึ้น ทําให้ในช่วงสมัยกรุงศรี อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการประกอบพิธีวิสาขบูชา จนกระทั่งมาถึงรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2360) ทรงมีพระราชดําริที่จะให้ฟื้นฟูพิธีวิสาขบูชาขึ้นมาใหม่ โดยสมเด็จพระสังฆราช (มี) สํานักวัดราชบูรณะ ถวายพระพรให้ทรงทําขึ้นเป็นครั้งแรก ในวันขึ้น 14 ค่ํา 15 ค่ํา และวันแรม 1 ค่ํา เดือน 6 พ.ศ. 2360 และให้จัดทําตามแบบอย่างประเพณีเดิมทุกประการ เพื่อให้ประชาชนได้ทําบุญทํากุศลโดยทั่วหน้ากัน การรื้อฟื้นพิธีวิสาขบูชาขึ้นมาในครานี้จึงถือเป็นแบบอย่างถือปฏิบัติในการประกอบพิธี วันวิสาขบูชา ต่อเนื่องมาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน
วันวิสาขบูชาเป็นวันสําคัญสากลของสหประชาชาติ
วันวิสาขบูชา ถือเป็นวันสําคัญที่สุดทางพระพุทธศาสนา ล้วนมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการถือกำเนิดของพระพุทธศาสนา คือ เป็นวันที่พระศาสดา คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ดังนั้น พุทธศาสนิกชนทั่วโลกจึงให้ความสําคัญกับวันวิสาขบูชานี้ และในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2542 องค์การสหประชาชาติได้ยอมรับญัตติที่ประชุมกําหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสําคัญของโลก โดยเรียกว่า Vesak Day ตามคําเรียกของชาวศรีลังกา ผู้ที่ยื่นเรื่องให้สหประชาชาติพิจารณา และได้กําหนดวันวิสาขบูชานี้ ถือเป็นวันหยุดวันหนึ่งของสหประชาชาติอีกด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้ชาวพุทธทั่วโลกได้มีโอกาสบําเพ็ญบุญเนื่องในวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระบรมศาสดา โดยการที่สหประชาชาติ ได้กําหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสําคัญของโลกนั้น ได้ให้เหตุผลไว้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นมหาบุรุษผู้ให้ความเมตตาต่อหมู่มวลมนุษย์ เปิดโอกาสให้ทุกศาสนาสามารถเข้ามาศึกษาพุทธศาสนา เพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริงได้โดยไม่จําเป็นต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ และทรงสั่งสอนทุกคนโดยใช้ปัญญาธิคุณ โดยไม่คิดค่าตอบแทน
การประกอบพิธีในวันวิสาขบูชา จะแบ่งออกเป็น 3 พิธี ดังนี้
1. พิธีหลวง คือ พระราชพิธีสําหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ประกอบในวันวิสาขบูชา
2. พิธีราษฎร์ คือ พิธีของประชาชนทั่วไป
3. พิธีของพระสงฆ์ คือ พิธีที่พระสงฆ์ประกอบศาสนกิจ
กิจกรรมในวันวิสาขบูชา
1. ทําบุญใส่บาตร กรวดน้ําอุทิศส่วนกุศลให้ญาติที่ล่วงลับ และเจ้ากรรมนายเวร
2. จัดสํารับคาวหวานไปทําบุญถวายภัตตาหารที่วัด และปฏิบัติธรรม ฟังพระธรรมเทศนา
3. ปล่อยนกปล่อยปลา เพื่อสร้างบุญสร้างกุศล
4. ร่วมเวียนเทียนรอบอุโบสถที่วัดในตอนค่ํา เพื่อรําลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
5. ร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับวันสําคัญทางพุทธศาสนา
6. จัดแสดงนิทรรศการ ประวัติ หรือเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับวันวิสาขบูชาตามโรงเรียน หรือ สถานที่ราชการต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้ และเป็นการร่วมรําลึกถึงความสําคัญของวันวิสาขบูชา
7. ประดับธงชาติตามอาคาร บ้านเรือน วัด และสถานที่ราชการ
8. บําเพ็ญสาธารณประโยชน์
หลักธรรมที่สําคัญที่ควรนํามาปฏิบัติ
วันวิสาขบูชา พุทธศาสนิกชนควรยึดมั่นในหลักธรรม ซึ่งหลักธรรมที่ควรนํามาปฏิบัติในวันวิสาขบูชา ได้แก่
1. ความกตญัญู คือ การรู้คุณคนเป็นคุณธรรมที่คู่กับความกตเวที ซึ่งหมายถึงการตอบแทนคุณที่มีผู้ทําไว้ ความกตัญญูและความกตเวทีนี้เป็นเครื่องหมายของคนดี ทําให้ครอบครัวและสังคมมีความสุข ซึ่งความกตัญญูกตเวที สามารถเกิดขึ้นได้กับทั้งบิดามารดากับลูก ครูอาจารย์กับศิษย์ นายจ้างกับลูกจ้าง ฯลฯ พระพุทธศาสนาเปรียบพระพุทธเจ้าเสมือนกับบุพการี ผู้ชี้ให้เห็นทางหลุดพ้นแห่งความทุกข์ ดังนั้นพุทธศาสนิกชนจึงควรตอบแทนด้วยความกตัญญูกตเวที ด้วยการทํานุบํารุงพระพุทธศาสนา และดํารงพระพุทธศาสนาให้อยู่สืบไป
2. อริยสัจ 4 คือ ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ในวันวิสาขบูชา ได้แก่ ทุกข์ คือ ปัญหาของชีวิต สภาวะที่ทนได้ยาก ซึ่งทุกข์ขั้นพื้นฐาน คือ การเกิด การแก่ และการตาย ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ ส่วนทุกข์จร คือ ทุกข์ที่เกิดข้ึนในการดําเนินชีวิตประจําวัน เช่น การพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก หรือ ความยากจน เป็นต้น
สมุทัย คือ ต้นเหตุของปัญหาหรือสาเหตุของการเกิดทุกข์ และสาเหตุส่วนใหญ่ของปัญหาเกิดจาก "ตัณหา" อันได้แก่ ความอยากได้ต่าง ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
นิโรธ คือ ความดับทุกข์ เป็นสภาพที่ความทุกข์หมดไป เพราะสามารถดับกิเลส ตัณหา อุปาทาน ออกไปได้
มรรค คือ หนทางที่นําไปสู่การดับทุกข์ เป็นการปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหา มี 8 ประการ ได้แก่ ความ เห็นชอบ ดํารชิอบ วาจาชอบ กระทําชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งจิตมั่นชอบ
3. ความไม่ประมาท คือ การมีสติตลอดเวลาไม่ว่าจะทําอะไร พูดอะไร คิดอะไร ล้วนต้องใช้สติเพราะ สติ คือการระลึกได้ การระลึกได้อยู่เสมอจะทําให้เราใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ซึ่งความประมาทนั้นจะทําให้เกิดปัญหายุ่งยากตามมา ดังนั้นในวันนี้พุทธศาสนิกชนจะพากันน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยความมีสติ
วันวิสาขบูชา นับว่าเป็นวันที่มีความสำคัญสําหรับพุทธศาสนิกชนทุกคน เป็นวันที่มีการทําพิธีพุทธบูชา เพื่อเป็นการน้อมรําลึกถึงพระวิสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ อีกทั้งเพื่อเป็นการรําลึกถึงเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ทั้ง 3 ประการที่มาบังเกิดในวันเดียวกัน และนําหลักธรรมคําสั่งสอนของพระพุทธองคม์าเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติในการดํารงชีวิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น